Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 22/12/11 at 18:14 [ QUOTE ]

หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 12 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ




หนังสืออ่านเล่น

เล่มที่ ๑๒

(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดย..พระเจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์เวฬุวัน)



เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๑๒

1.
ตอนที่ ๓ ดาวหลุมดำ
2. ตอนที่ ๔ ดาวหลุมดำ
3. ตอนที่ ๕ ดาวหลุมดำ
4. ตอนที่ ๖ ดาวหลุมดำ
5. ตอนที่ ๗ ดาวหลุมดำ .
6. ตอนที่ ๘ ดาวหลุมดำ
7. จุไรท่องยมโลก
8. จุไรคุยกับสองปู่


1

หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๒



ดาวหลุมดำ ตอนที่ ๓



ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกนี้ เป็น วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๓๓ ที่บอกวันเดือนปีไว้ก็เพราะว่า จะได้ทราบว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่จะกล่าวต่อไปนี้ มันเป็นเรื่องของความสับสนของสมอง แต่ก็เป็นเรื่องความจริงใจของบุคคลพวกหนึ่ง ที่เรียกว่า ท่านคณะจิตวิทยา สำหรับคณะจิตวิทยานี้ ในจิตเป็นกำลังงาน ทำงานด้วยกำลังของจิต จิตมีสภาพรวดเร็ว

และไปได้ทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ในที่ปิดบังลี้ลับ ก็สามารถจะไปได้ เรื่องนี้ก็ไม่ขออธิบาย ขืนอธิบายก็เพ้อ รวมความว่า วันนี้จะคุยกันเรื่อง ดาวหลุมดำ คำว่า ดาวหลุมดำ ความเป็นมาเป็นอย่างนี้ ผู้พูด หรือผู้เขียนเอง ก็ไม่ทราบมาก่อน เมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๓๓ เดินทางเข้าไปกรุงเทพฯ ไปแวะที่บ้าน ท่านพล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต อดีตรองเสนาธิการทหาร แห่งกองบัญชาการทหารสูงสุด

ในตอนหนึ่งท่านคุยให้ฟังว่า เวลานี้ฝรั่งเขากำลังสนใจ เรื่องถุงดำ คำว่า ถุงดำ ก็หมายความว่า เป็นดวงดาวดวงหนึ่งในอากาศ มีสภาพเป็นถุง บรรดาดาวทั้งหลายเข้าไปใกล้ มันก็ดูดเข้าไปหมด แม้แต่แสงสีต่าง ๆ เข้าไปใกล้ มันก็ดูดเข้าไปหมด เวลาที่ดูดเข้าไป ก็หายเข้าไปเลย เมื่อท่านพูดอย่างนี้ ความรู้สึกเวลานั้นก็มีความรู้สึกว่า ผิวของดวงดาวดวงนี้ ด้านหน้ากร้านมาก

แล้วก็มีความร้อนพอสมควร ไม่ใช่มีความร้อนอย่างแสงอาทิตย์ คือ เรียกว่า ร้อน ถ้าหากว่าสัตว์ที่มีชีวิต สามารถจะทนความได้ ถ้าจะเปรียบเทียบกันจริง ๆ ความร้อนด้านหน้าของดวงดาวดวงนี้ ถ้าจะเทียบกับตะวันออกกลาง ก็เห็นจะร้อนกว่าตะวันออกกลางนิดหน่อย ร้อนกว่าไม่เกิน ๑๐ องศาเซนติเกรด เทียบกับตะวันออกกลางนะ เอาเฉพาะอย่างยิ่ง อียิปต์ ก็แล้วกัน

จะร้อนกว่าอียิปต์ไม่เกิน ๑๐ องศาเซนติเกรด ก็เรียกว่า พอทนกันได้ ต่อมาเมื่อเดินทางไปถึงซอยสายลม บ้านท่านพล.อ.ท.ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ ผู้พูดเองก็ป่วย รอรับการให้น้ำเกลือจากแพทย์ เวลานั้นก็มีแพทย์ คือมี หมอมนตรี นามสกุลว่าอย่างไรก็จำไม่ค่อยได้แล้วนะ อ้อ.. หมอมนตรี อมรพิเชษฐ์กูล

นี่ พรนุช คืนคงดี เขาจดไว้ให้ มีหมอมนตรีมาคอยก่อน และต่อมามี หมอแสงโสม คือ พญ.แสงโสม ปิรยะวราภรณ์ มา ต่อมาก็มี นพ.จรูญ ปิรยะวราภรณ์ ผู้สามีของ พญ.แสงโสม มา คือ แสงโสมนี่ ผู้พูดไม่ค่อยถนัด มักจะเรียกว่า อิ๋ง ๆ เป็นอันว่า หมอที่รักษาตัวอยู่จริง ๆ ก็คือ นพ.จรูญ ปิรยะวราภรณ์ พญ.แสงโสม ปิรยะวราภรณ์ ภรรยา และ นพ.ชนะ สิริยานนท์

สำหรับหมอจรูญกับแสงโสมนี่เป็นหมอประจำ ให้ยาเป็นปกติ หมอชนะนี่เรียกว่า หมอญี่ปุ่น ไปเรียนญี่ปุ่นมาภายหลัง ตอนหลังไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น นี่เป็นหมอคอ จมูก หู ลูกตาด้วยหรือเปล่าไม่ทราบ กับ ท่าน นพ.วัฒนะ หิตะดิลก สองคนนี้เป็นลูกศิษย์อาจารย์กัน หมายความว่า เป็นหมอที่ศิริราชเหมือนกัน เป็นฝ่ายคอ จมูก หู สำหรับ นพ.มนตรีนี่ เดิมประจำอยู่ที่ปากคลองสาน

คงจะทราบว่าเป็นหมอชนิดไหน แต่เวลานี้ก็มาอยู่ที่ โรงพยาบาลศรีธัญญา รวมความว่า ถ้าใครคิดว่า ผู้พูดหรือผู้เขียนจะบ้า ก็ไม่เป็นไร เพราะมีหมอบ้า ประจำอยู่แล้ว หมอรักษาบ้านะ ไม่ใช่หมอบ้านะ แล้วก็ พญ.พงศ์ภารดี (ปุ๊) เจาฑะเกษตริน คนนี้ตามปกติเป็นหมอนวด แต่ไม่ใช่นวดด้วยมือ เขาเป็นแพทย์ เป็นหมอดมยาเหมือนกัน เช่นเดียวกับหมอแสงโสม แต่ว่าใช้เข็มนวด

คือ เข็มจิ้ม เป็นหมอฝังเข็ม อาตมาเลยใช้สมญาว่า หมอนวด เพราะว่าปวดเมื่อยที่ไหน ถ้าหมอคนนี้ปักเข็มให้ เป็นหายทันที ใช้เวลาไม่เกิน ๒๐ นาที แล้วก็มี พ.ต.นพพร กับ พญ.เตือนใจ กลั่นสุภา นครสวรรค์ นี่เป็นกองทหารนครสวรรค์อีก ๒ คน ประจำ แล้วก็มี หมอโอ๋ คำว่า หมอโอ๋ นี่ อาตมาเรียก หมอโอ๋ แต่ชื่อจริง อ.บุปผาชาติ พงษ์ประดิษฐ์ เป็นคนขับรถให้

และก็เป็นหมอยาไทย ทีนี้ในเมื่อไปพบ หมอมนตรี กับหมอทุกคนแล้ว ก็เป็นอันว่า สำหรับ หมอหมอนี่ คนขนยามามากที่สุดก็คือ หมอวัฒนะ แต่อาตมาชอบเรียกว่า ญี่ปุ่น ก็เป็นอันว่า ยาอะไรขาดก็ตาม หมอวัฒนะก็ขนมา หมอคนอื่นก็เอามาให้ แต่หมอวัฒนะขนมากหน่อย เมื่อพบหมอมนตรี ก็คุยกันถึงเรื่องเจ้าถุงดำในอากาศ หมอมนตรีก็อธิบายตามลักษณะที่ว่ามา

ที่ท่านพล.อ.อ.อาทรพูดมาเหมือนกัน หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจ ต่อมา เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๓ ฟันมันเป็นหนองที่รากฟัน หมอเตือนใจรักษามานาน ทำมาเกือบ ๑๐ เที่ยว เขาค่อย ๆ ขูด ค่อย ๆ ดูดเอาหนอง ค่อย ๆ แคะเอาหนองออก ความจริงผู้พูดก็อยากจะให้เขาถอนทิ้งไป เพราะของไม่ดีไม่อยากจะได้ แต่หมอบอกว่า เสียดายฟัน ถ้าเกินวิสัยจริง ๆ จึงจะทิ้ง นี่เป็นลีลาของหมอ

เพราะปกติเป็นอย่างนั้น หมอต้องรักษาของเดิมไว้ให้ได้ แต่เจ้าของของไม่อยากจะเก็บไว้ เพราะมันปวด หมอเตือนใจมาทำให้เกือบ ๑๐ เที่ยว เธอก็นั่งรถหมอโอ๋มา และทุกสิ่งทุกอย่าง หมอก็ออกทั้งหมด โอ๋ออกทั้งหมด ผู้พูด หรือผู้บันทึก หรือผู้เขียน ไม่ได้ออกสตางค์เลย ก็เป็นอันว่า สำหรับแพทย์ฟัน ก็มี หมอจำนูน อีกคนหนึ่ง หมอจำนูนนี่ก็สำคัญมาก

ช่วยเหลือมาในกาลก่อน เวลานี้ยังเป็นปกติและยกขบวนมาช่วยบรรดาฟันเด็ก และฟันคนแก่ คนหนุ่ม คนสาวก็ตาม ยกมาครั้งหนึ่งก็ฟรีทุกอย่าง ฟรีเหมือนกัน นอกจากฟรี หมอที่มาสงเคราะห์คณะผู้พูดมากนี่ คนฟุ้งนี่นะ โดยมากเขาไม่รักษาเฉย ๆ เขาให้สตางค์ด้วยก็เลยเอา หมอประเภทนี้ชอบ และก็ชอบมากความจริงหมอที่ช่วยเหลือนั้นมีมาก

ตั้งแต่เริ่มต้น พล.อ.ต.นพ. โกศล มณีจักร แล้วก็ต่อมา พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ท่านก็ทำการรักษาเรื่อยมา หลายระยะ มามากด้วยกันหลายคน เยอะ ก็รวมความว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พูดมากไปแล้ว หมดเวลาไปตั้ง ๑๐ นาที เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๓ ขณะที่หมอเตือนใจ กำลังขูดฟันอยู่ ดูดเอาหนอง ขณะที่เขาขูดฟัน เขาดูดหนอง ก็มีความรู้สึกว่า

ขึ้นชื่อว่า ความตาย มันเป็นของหาไม่ยาก ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง บางคนก็ตายด้วยเหตุที่ไม่ควรจะตาย แตะต้องนิดหน่อยก็ตาย ถึงวาระมันมา เวลานี้การทำฟันดูดหนองมันปวด มันเสียว ดีไม่ดี ระบบประสาทอาจจะตัดชีวิตของเราก็ได้ ก็คิดขึ้นมาในใจว่า

ขึ้นชื่อว่า ชีวิต มันต้องตาย จะตายเวลานี้ก็ตาย จะตายเวลาอื่นก็ตาย ทำท่าเก่งไปอย่างนั้นเอง ความจริงแล้ว กลัวตาย แต่ในเมื่อคิดว่า เวลานี้ ถ้ามันจะตาย เราก็ไปก่อน ร่างกายตายทีหลัง เราจะไปก่อน ก็รวบรวมกำลังใจจับ อานาปานุสสติ กับ อุปสมานุสสติกรรมฐาน คำว่า อุปสมานุสสติ นั้นหมายถึง นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์

จะไปนิพพานได้ หรือไม่ได้ เราก็ไปอย่างคนอยากไปนิพพาน ในเมื่อเราเป็นคนอยาก เมื่ออยากหนัก ๆ เข้า มันก็ต้องถึงเอง ไม่ละความอยาก ใครเขาจะบอกว่า ความอยาก เป็นกิเลส ก็เป็นเรื่องของเขา กิเลสของเขา เป็นธรรมะของเรา เราอยากไปนิพพาน แต่บรรดานักเทศน์ ท่านเทศน์บอกว่า การอยากไปนิพพาน ถือว่าเป็นธรรมฉันทะ คือ มีความพอใจในธรรม

ไม่ใช่กิเลส คน ฟังแล้ว ก็เถียงกันเองก็แล้วกัน ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง นี่คนพูด คนเขียน พูดตามความพอใจของตนเอง ไปรอคนอื่นไม่ได้ รอคนอื่นมันไม่ได้พูด ไม่ได้เขียน ขณะที่รวบรวมกำลังใจ เวลานั้นจิตก็ตกวูบ เข้าสู่อารมณ์สงัด จิตมีอารมณ์เยือกเย็น เห็นท่านผู้มีคุณมากมาย แพรวพราวเป็นระยับก็ปรากฏล้อมอยู่ ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านบอกยังไม่ตาย คุณ ยังไม่ตาย

ก็บอกท่านว่า จะตาย หรือไม่ตายก็ไม่ทราบ ขอไปที่อยู่ก่อน ท่านก็บอก ตามใจ เรื่องของคนขี้ขลาดขัดคอไม่ได้ อยากจะไปก็เชิญไปเถิด ก็เป็นอันว่า ท่านจะเชิญ หรือไม่เชิญ ผู้พูดก็ไปแล้ว นึกแว๊บเดียว แวะไปเยี่ยมพ่อ เยี่ยมแม่ ประเดี๋ยวเดียว กราบท่านบอกว่า เดี๋ยวขอไปบ้านพักหนึ่ง หมอกำลังทำฟัน แม่ท่านก็บอกว่า ทำไมขี้ขลาดแบบนี้ล่ะ

ก็เลยบอกท่านว่า คนที่อยากจะไปนิพพานเป็นคนขี้ขลาดหรือ ท่านก็เลยบอกว่า ไอ้เรื่องปากแข็ง เถียงเก่ง เป็นเรื่องของคุณ ไป ๆ ๆ ไปไหนก็ได้ ไปเถิด ไปได้ ถ้าอยู่ที่นี่เดี๋ยวก็ ทะเลาะกันไป ทะเลาะกันมา หมอเขาทำเสร็จไม่ได้ไปนิพพาน แล้วท่านพ่อก็ถามจะไปนิพพานหรือ ก็บอก เปล่า ใจมันอยากไปนิพพาน แต่ว่าจริง ๆ มันจะไปได้ หรือไม่ได้ ก็ไม่ทราบ ก็ช่างหัวมัน

แล้วท่านถามว่า จะไปไหน ก็บอกกับท่าน บอกว่า จะไปบ้าน ถ้าเจอะบ้าน เขาสร้างไว้ให้ที่ไหน จะไปที่นั่น ท่านก็ยิ้ม ท่านก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไปด้วย ชวนแม่เขาด้วยสิ ก็เลยยกมือไหว้แม่ท่าน แม่ท่านบอกว่า เอ้า ถ้าอย่างนั้น แม่ก็ไปด้วย ในเมื่อไปถึง ก็มีบ้านอยู่ ๓ หลัง แพรวพราวเป็นระยับ มีกำแพงแก้วผสมทอง ไม่อธิบายละ มันสวยก็แล้วกัน เข้าไปนั่งก็คิดในใจ

ก็บอกท่านพ่อ ท่านแม่ บอกว่า เวลานี้ฉันอยากจะนั่งคนเดียว ให้อารมณ์จิตมีความสงัด ท่านก็บอกว่า คุณก็สงัดแล้ว คำว่า สงัด ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้คิดอะไรเลย มันคิดเฉพาะนิพพานอย่างเดียว ตัดทุกอย่าง ทรัพย์สมบัติไม่คิด อย่างนี้เรียกว่า สงัด สงัดจากกิเลส เฉพาะอารมณ์เวลานี้ ท่านก็บอกว่า ถ้าเป็นความประสงค์ของคุณ

คุณนั่งตรงนี้ บ้านหลังนี้นะ พ่อท่านบอกว่า พ่อก็จะไปนั่งที่โน่น ที่แท่นแก้วขอบสระ ท่านก็เรียกแม่ บอก แม่ มาด้วยกันเถิด ปล่อยเขา ลูกชายคนนี้นิสัยเป็นอย่างไร แม่เลี้ยงมาก็ย่อมรู้อยู่แล้ว ท่านแม่ก็เลยบอกว่า แค่นั้นแหละ เด็กก็แค่นั้นแหละ หนุ่มก็แค่นั้นแหละ แก่ก็แค่นั้นแหละ ลีลาไม่ต่างจากเดิม นั่งตามสบายนะจ๊ะ แม่จะไปละ แล้วแม่ท่านก็ไป พอแม่ไปประเดี๋ยวเดียว

สักอึดใจ ไม่ถึงดี คนแก่ไป สองแก่ พ่อก็แก่ แม่ก็แก่ ความจริง แก่ตามลักษณะที่เราเรียกกันนะ แต่ที่จริงท่านไม่แก่ ทีนี้มากลุ่มสาว ๆ มาหนักกว่านั้น กว่า ๑๐ คน แต่งตัวแพรวพราวเป็นระยับ มาถึง ไม่ต้องรีรอ ไม่ต้องขออนุญาต ย่องเข้ามาเลยถึงปั๊บ นั่งบนที่นั่ง ก็เลยบอกว่า นี่ ผู้หญิงไป บ้านนี้ไม่รับผู้หญิงนะจ๊ะ เธอที่เป็นหัวหน้าก็บอกว่า ถ้าไม่รับผู้หญิง ก็ไม่เป็นไร

พวกฉันไม่ใช่ผู้หญิง ก็ถามว่า เธอเป็นกระเทยหรือ เธอก็ตอบว่า ฉันไม่ใช่กระเทย ถามว่า เป็นบัณเฑาะว์หรือ ไอ้บัณเฑาะว์มันมีเพศสองเพศ ทั้งเพศผู้หญิง และเพศผู้ชาย เธอก็บอกว่า ไม่ใช่ ก็ถามว่า เป็นผู้ชายหรือ เธอก็บอก ไม่ใช่ ถามว่า เป็นอะไร เธอตอบว่า คนพวกฉัน ทั้งหมดที่มา ไม่มีอะไรเป็นเพศ ไม่มีทั้งผู้หญิง ไม่มีทั้งผู้ชาย ไม่มีทั้งกระเทย ไม่มีทั้งบัณเฑาะว์ ไม่มีทั้งหมด

ก็เลยถามเธอว่า ถ้าเธอไม่เป็นกระเทย อย่างนี้เขาเรียก กระทุย ใช่ไหม เธอหันมายิ้มถาม กระทุย เป็นอย่างไร ก็เปรียบเทียบให้ฟัง บอก เหมือนกับควาย ควายเขามันกางออก เขาเรียก เจ้ากาง ถ้าเขาลอมเข้ามา เขาเรียกว่า ลอม ถ้าหลุบลงข้างล่าง เข้าใช้อะไรไม่ได้ เขาเรียก ทุย พวกเธอก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรจะใช้เลย เรื่องเพศก็เรียกเป็นพวกกระทุย ก็แล้วกัน

เธอก็ตอบว่า ช่างเป็นไร เรียกอย่างไรก็ช่าง ร่างของฉันไม่เปลี่ยนแปลง ก็จบกัน เมื่อขณะนั่งคุยประเดี๋ยวหนึ่ง เธอก็ถามว่า เห็นพรหมโลกไหม มองลงต่ำ ก็มองลงดูตามเธอ เห็นพรหมโลก เธอถามต่อไปว่า เห็นสวรรค์ไหม ก็มองดูต่ำลงไป ก็เห็นสวรรค์ หลังจากนั้นเธอถามว่า เห็นจักรวาลต่าง ๆ ไหม ที่เรียกกันว่า จักรวาลมนุษย์

มีมนุษย์อยู่ แต่มีอยู่ไม่ทุกจุด มองลงมามัน เกลื่อนกลาดไปหมด เหมือนกับผลส้ม ลอยเกลื่อนในอากาศ ถ้าจะนับ ก็คงจะนับได้ แต่ไม่กล้าจะนับ ไม่มีเวลาจะนับ มันมากเหลือเกิน ลอยห่างกันบ้าง ใกล้กันบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เธอก็ชี้ให้ดูว่า จุดเล็ก ๆ จุดโน้น ไกลสุดลงไป มันเป็นจุดที่คุณมีชีวิตอยู่ที่นั่น นั่นหมอกำลังทำร่างกายอยู่ กำลังแคะฟัน กำลังดูดหนอง คุณเห็นไหม

ก็ตอบกับเธอบอกว่า เห็น บอก ไกลมาก แล้วกลุ่มที่ลอยมาใกล้ ๆ อย่าง โลกพระจันทร์ก็ดี โลกพระอังคารก็ดี โลกพระศุกร์ โลกพฤหัสก็ตาม มันอยู่ใกล้ ๆ กลุ่มนั้น แต่เหนือขึ้นมาอีก
มากมาย สูงสุด มีโลกเกลื่อนกลาด ที่เรียกกันว่า ดวงดาว มันเกลื่อนกลาดไปหมด มันสูงกว่านั้นมาก แต่สิ่งที่จะให้คุณดูวันนี้ จะให้ดูดวงดาวสักดวงหนึ่ง มันไม่ใช่ดาว มันเป็นโลก

แต่นักวิทยาศาสตร์เขาบอกว่า เขาเรียก ถุง มันเป็นถุงดำ ลอยอยู่เกือบจะเป็นผิวอวกาศ เกือบเป็นผิวจักรวาลน่ะ สูงสุด มันดวงใหญ่มาก เธอก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า โลกมนุษย์ มีสภาพเหมือนกับผลส้ม ไอ้เจ้าโลกถุงดำนี่ก็มีสภาพเหมือนกับพ้อมใหญ่ ๆ พ้อมใส่ข้าว ฉะนั้น ความใหญ่ของมัน ถ้าจะเอาโลกมนุษย์เข้ามาลอยภายในท้องของมัน ประมาณสักพันดวง

ยังไม่ถึงไหนหรอก มันใหญ่โตมาก ก็ถามเธอว่า นั่นมันเป็นเรื่องของอนิจจังใช่ไหม เธอตอบว่า ใช่ ก็ถามว่า ให้ฉันดูทำไม เธอบอกว่า เวลานี้นักวิทยาศาสตร์เขาสนใจเจ้าถุงดำนี้ เขาเรียก ถุงดำ แต่ความจริงมันไม่ใช่ถุงธรรมดา มันเป็นโลก คล้ายกับส้มฝานกลางทิ้งไป ส่วนหนึ่งทิ้งไป อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้ มีสภาพเหมือนกระทะคว่ำลง กลางมันโบ๋ขึ้น เป็นช่องใหญ่มาก

ด้านหน้ามันแกร่ง ด้านข้างบนนี้เป็นพื้นพิภพของคนอยู่ มีมหาสมุทร มีประเทศชาติ มีทุกอย่างอย่างโลกเขามีกัน แต่ว่าชาวโลกโลกนี้รู้สึกว่า แปลกกว่ามนุษย์โลกที่เรามีชีวิตอยู่ เพราะ มนุษยโลก ศีล ๕ ไม่ค่อยจะครบ หาคนครบ ศีล ๕ ยาก แต่โลกนี้เป็นโลกของกรรมบถ ๑๐ เขารักษา กรรมบถ ๑๐ ได้ครบถ้วน

พอเธอพูดจบเท่านี้ปรากฏว่า พระท่านมา พระนี่เป็นพระใหญ่มาก มีความเคารพนับถือท่านมาก ท่านก็ถามว่า อยากจะไปชมโลกนี้ไหม ก็กราบเรียนกับท่านบอกว่า อยากชม เพราะว่าน้องสาวเพิ่งพูดให้ฟังเดี๋ยวนี้เอง ความจริงไม่รู้ก่อน ท่านก็บอกว่า เธอเวลานี้ไม่มีความสนใจอะไรแล้วไช่ไหม สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี อะไรก็ตาม เงียบหมด หยุดหมด ไม่เหมือนเมื่อก่อน

เมื่อก่อนมันอยากทุกอย่าง อยากรู้นั่น อยากรู้นี่ ไปโลกนั้น ไปโลกนี้ ไปที่โน่น เวลานี้เงียบสงัด ถ้าไม่จวนตัว จนใจจริง ๆ ก็ไม่ไป ไม่อยากจะรู้ใช่ไหม ก็ตอบท่านว่า ใช่ ก็กราบเรียนท่านบอกว่า มันไม่เกิดประโยชน์ รู้ไปก็แค่นั้น มันก็แก่ทุกวัน ร่างกายก็เต็มไปด้วยทุกขเวทนา ท่านบอกว่า ก่อนที่มันจะตาย รู้เสียหน่อยซิ จักรวาลทั้งหมดนั้น น่าจะรู้

ก็เลยบอกท่านว่า ไม่เอาแล้ว ขอถวายบังคมลา เรื่องรู้แบบนี้ เอาเฉพาะจุด ถ้าท่านเห็นว่าควร ก็อาจจะรู้ ท่านบอกว่า โลกนี้ คน แล้วก็ยังมีอีกหลายโลกอยู่ระดับเดียวกัน ควรจะรู้อย่างยิ่ง เพราะว่าเป็นโลก ทั้ง ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่รู้อะไรเลย ความจริงเขาเข้าใจว่าเป็น ถุงดำ และกลืนดวงดาวต่าง ๆ แม้แต่แสงสีเข้าไปก็มองไม่เห็น อันนั้นความจริงมันไม่ได้กลืน

สภาวะจริง ๆ ของมัน เดี๋ยวไปดูกันก็แล้วกัน เมื่อท่านพูดจบ ท่านก็ลุกขึ้น ทุกคนก็ลุกขึ้นพร้อมกัน ท่านพ่อท่านแม่ก็มาด้วย พอท่านก้าวนำหน้า ทุกคนก็ก้าวตาม ก้าวเดียวก็ถึง พอถึงแล้วก็ไปยืนอยู่หลังโลก ขอบ ๆ เกือบริม หมายความว่า ห่างจากปากช่อง ปากทางเข้าข้างล่างจริง ๆ ไม่เกิน ๑ โยชน์ ก็พยายามเดินไปเดินมา มันขรุขระทุกอย่าง ขรุขระเป็นโขด โขดสูง ๆ โขดต่ำ ๆ

พื้นพิภพเหมือนกับดินไหม้ สภาพเหมือนกับดินไหม้ แต่มันแข็งจัด ดูแล้วมันแข็ง เหมือนกับดินผสมเหล็ก พอเดินไปได้หน่อยหนึ่ง พระท่านก็บอกว่า คุณ ถ้าคุณขืนเดินอย่างนี้นะ อย่าลืมว่าโลกนี้ มันโตกว่าโลกมนุษย์หลายพันเท่า ถ้าคุณเดินอย่างนี้ กี่ชีวิตของคุณ มันก็เดินไม่จบ เราเดินแบบที่เราเดินมาก็แล้วกัน ก็ถามท่าน จะไปไหน

ท่านบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไปดูกันเสียก่อนเลย เรื่องจริง ๆ เราเลี้ยวไปที่อื่นก่อน วันนี้ขอตัดเข้าไปหาเลย ไปหาจุดนี้ ซึ่งมันเป็นจุดเดิม จุดจริง ๆ แล้วก็เป็นจุดที่พูดได้เต็มปาก เต็มคอ แล้วต่อไปก็เป็นเรื่องไม่ค่อยจริง เป็นนิทาน ตอนนี้เป็นเรื่องเล่าให้ฟังธรรมดา ๆ ไม่ใช่นิทาน เป็นอารมณ์เคลิ้ม อารมณ์เคลิ้มนี่ไม่แน่นอนนัก ถ้าเคลิ้มดีก็ดี ไม่ดีก็บ้าไปเลย แต่ไม่กล้าบ้าหรอก

เพราะมีหมอมนตรีรักษา หมอโรงพยาบาลบ้ามีอยู่ รักษา เขาอยู่ถึงตั้ง ๒ โรงพยาบาล เขาเก่ง เมื่อปราบโรงพยาบาลปากคลองสานมาได้แล้ว ก็มาปราบที่ศรีธัญญา ก็ยังจะปราบคนวัดท่าซุงอีกคนหนึ่ง คือ คนพูด ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวบ้า ก็เดินอีกก้าวเดียวก็ไปถึงปากโลก มันมีสภาพเหมือนกระทะคว่ำ หรือมีสภาพเหมือนผลส้ม หรือผลส้มโอถูกตัดกลาง ตัดเอาส่วนของหัวทิ้งไป

ส่วนของหางไว้ หรือส่วนของหางทิ้งไป เหลือส่วนหัวก็ได้ มันคว่ำแบบนั้น ข้างในกลวงโบ๋ แต่อย่านึกว่า ความกลวงผิวมันจะบางนะ ผิวมันเป็นแผ่นดินหนาเป็นโยชน์ พระอธิบายให้ฟัง ท่านบอกว่า เข้าไปดูไหม ท่านบอก ที่เขาเรียกว่า หลุมดำ เพราะว่าสีมันดำ ความไหม้ของดินนี่มันดำจริง ๆ สภาพดำเป็นดินไหม้ และแข็งจัด

ก็มองไปดูรอบ ๆ มองไปดูทางซ้าย เวลานั้นหันหน้าไปทางทิศตะวันตก มองไปดูทางซ้าย พระท่านก็ชี้บอกว่า โน่น อีกโลกหนึ่ง เลยไปอีกโลกหนึ่ง แต่ทั้ง ๒ โลกนี้เขามีสภาพเต็ม ไม่ใช่ครึ่งโลก หรือโบ๋กลางเหมือนโลกนี้ แต่ว่าเราจะไปกันทีหลัง วันนี้คุยกันเรื่องโลกนี้ก่อน ท่านก็บอกว่า โลกนี้ตรงกลางมันโบ๋ มันมีความร้อนพอสมควร เข้าไปดูไหม ก็เลยบอกกับท่าน บอกว่า ขอเข้าไปดู

ทั้งหมดก็เข้าไปพร้อมกัน พอเข้าไปภายในโลกนั้น ตกใจ มันเวิ้งว้างเหมือนกับฟ้าเฉพาะถ้าตาเนื้อธรรมดา ไม่มีโอกาสจะเห็นขอบฟ้าได้เลย อันนี้เรียกว่าเป็น ตาลม ลมก็หยาบไป เป็นตาอากาศ อากาศก็หยาบไป เป็นตาละเอียด สามารถจะมองอะไร ถึงไหนก็ได้ จักรวาลนี้ จักรวาลไหน จากนรกถึงนิพพานก็สามารถจะมองได้ จากนิพพานถึงนรกก็สามารถจะมองได้

เพราะเวลาที่พูดนั้น เป็นเวลาเป็นผี เพราะภาพนั้น เป็นภาพของผี ไม่ใช่คน ทิ้งคนไว้ข้างล่าง ผีขึ้นไปข้างบนแล้วก็มองไปมองมา ก็ไม่พบอะไร เข้าไปภายใน อากาศก็ดี ท่านบอกสภาพดีมาก มีอาการดึงดูดของแผ่นดิน เหมือนกับโลกธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรผิด จะเรียกว่า สูญญากาศไม่ได้ ยังมีอากาศอยู่ แล้วภายในนั้นมีอะไร ทราบไหม ในนั้น ปรากฏว่า

ดวงดาวต่าง ๆ เท่าที่มองเห็น ที่มองไม่เห็นก็ไม่ทราบ มันมีอยู่เกิน ๓๐๐ ดวง ไอ้เจ้าดวงดาวนั้น มันก็คล้าย ๆ กับผลมะนาวเล็ก ๆ อยู่ในพ้อมใหญ่ ๆ นั่นเอง มันก็ลอยอยู่ในนั้น ดวงดาวบางดวงก็มีแสงสว่างจ้า ทำให้ในพ้อมของโลกดำ หรือถุงดำนี่ เรียกว่า โลกดำ ดีกว่า ในท้องของโลกดำมันก็สว่าง บางจุดก็สว่างจ้า เหมือนกับแสงไฟฟ้าที่สว่าง บางจุดที่ไกลออกไปก็เป็นแสงสว่างสลัว ๆ

ก็รวมความว่า ทั้งท้องของดาวดวงนี้ ภายในสว่างจริง ๆ ไม่ใช่มืด แต่ที่ฝรั่งบอกว่ามืดเพราะมันสุดสายตาของฝรั่ง สุดสายตาของกล้อง ระยะของกล้อง คือกล้องไม่สามารถจะมองเข้าไปข้างในได้ ถ้าเปรียบเทียบ เหมือนกับถ้ำ ถ้ำใหญ่ ๆ ของภูเขาลูกใดลูกหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าเรา ถ้าเรายืนอยู่ไกลจากภูเขาลูกนั้นประมาณสัก ๑๐ กิโลเมตร เราจะมองเห็นปากถ้ำรู้สึกว่า มันมืดภายใน เราไม่เห็นแสงสว่าง

ถ้าเข้าไปใกล้ถึงถ้ำนั้นจะทราบว่า ภายในถ้ำนั้นมีแสงสว่าง ทีนี้พระท่านก็อธิบายให้ฟัง บอกว่า เท่าที่ฝรั่งมีความเข้าใจ มีความรู้สึก หรือเชื่อมั่นว่า ดวงดาวต่าง ๆ ที่เข้ามาในท้องของโลกนี้ในถุง ความจริงไม่ใช่ถุง มันท้องของโลก เข้ามาในท้องของโลกนี้ มันกลืนหายไปหมด แล้วแสงต่าง ๆ ก็กลืนหายหมด มองไม่เห็น แต่ความจริงมันไม่ได้กลืน เจ้าดวงดาวต่าง ๆ ที่เข้ามา

มันมีโอกาสออก ไม่ใช่เข้าแล้วอยู่เลย เพราะว่าดวงดาวต่าง ๆ หรือโลกก็ตาม มันไม่มีกำลังขับเคลื่อนของมันเอง มันลอยไปตามกำลังของอากาศที่ดันมันเข้าไป ก็ถามว่า ถ้าดวงดาวดวงนี้ไม่ดูดเขา เขาจะเข้ามาอย่างไร ท่านก็บอกว่า ก็ดู เหมือนแม่น้ำ ที่มีน้ำไหลเชี่ยว แต่ว่ามีถ้ำจระเข้ลึกเข้ามาข้างในเป็นกิโล และเป็นถ้ำใหญ่มากอยู่ด้านใดด้านหนึ่ง ด้านนั้นจะมีน้ำวน

เพราะน้ำที่ไหลมาจะไหลเข้าไปในถ้ำก่อน แล้วก็วนออกมา ด้านหน้าถ้ำจะเป็นน้ำวน เมื่อเป็นน้ำวนแล้ว หญ้าต่าง ๆ ก็จะไม่ไหลไปไหน จะวนอยู่หน้าถ้ำบ้าง จะผลุบเข้าไปในถ้ำบ้าง ส่วนที่ไหลเข้าไปในถ้ำแล้ว จะไหลออกมาในภายหลัง มันก็ใช้เวลาช้าหน่อย

เอาละบรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน จะว่าไปอีกนิดมันก็ไม่ไหวแล้ว เหลือเวลาไม่ถึงครึ่งนาที ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง และผู้อ่านทุกท่าน
สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


2

ดาวหลุมดำ ตอนที่ ๔



ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่อง ดาวถุงดำ คำว่า ดาวถุงดำ หรือว่า โลกถุงดำ ก็ตามใจชอบ แต่ว่าวันก่อน ก็ลืมอธิบายไปว่า เมื่อมาถึงโลกนี้แล้ว พระท่านอธิบาย บอกว่าโลกนี้ เขาเรียกว่า ชินโลก คือ โลกที่มีความชนะ ชนะโลกต่าง ๆ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะโลกต่าง ๆ ที่เป็นโลกที่มีความเล็กกว่า ก็ไหลเข้าท้องเจ้านี่เป็นแถว ๆ

แล้วเจ้าโลกทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่สามารถจะทำร้ายแก่เจ้าโลกใหญ่นี้ได้ มันลอยวนไป เวียนมา เป็นอาหารอยู่พักหนึ่ง ใช้เวลาไม่นานนัก ๗ ปี ๘ ปี มันก็ไหลออกมา พระท่านอธิบาย บอกว่า ตามที่ฝรั่งเขามีความรู้สึกว่า โลกนี้มันกินโลกกินดาว และแสงสีที่ไหลเข้ามาก็หายไปหมด ท่านบอกว่า ความจริงมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันไม่ได้กิน วิ่งเข้ามาในท้องมันเอง แล้วฝรั่งก็ไม่มีเวลาดูว่า

โลกที่ไหลเข้าไปมันไหลออกมาเมื่อไร ก็ใช้เวลาแรมปี อย่างเร็วที่สุด มันก็ต้องใช้เวลาถึง ๓ ปี อย่างเร็ว และอย่างช้าที่สุด มันอาจจะใช้เวลาถึง ๑๐๐ ปีก็ได้ ถ้ามันไปติดอยู่วงใน ก็รวมความว่า โลกนี้ไม่ใช่ดุร้าย หรือว่า เจ้าถุงนี้ไม่ใช่ดุร้ายตามความเข้าใจของฝรั่งนักวิทยาศาสตร์ เป็นโลกที่ใจดีมาก ความจริงต้องคิดว่าใจดี เพราะว่าถ้าโลกไหนวนไป เวียนมา ในอากาศ ชักจะเมื่อยเข้า

ก็มาพักในท้องเจ้านี่ แสงดาวต่าง ๆ แสงสีต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกัน ทีนี้ก็มาคุยกัน ถึงวัตถุที่มีอยู่ในท้องของโลกนี้ เอาอย่างนี้ดีกว่า ผิวของโลกนี้ ที่เป็นท้อง ตั้งแต่ปาก เข้าไปถึงท้อง มันมีความแข็งที่หนามาก พระท่านบอกว่า มันมีความแข็งและหนาเป็นสิบ ๆ เกือบจะถึงร้อยโยชน์ แข็งจัด และก็หนาจัด แกร่งจัด เพราะถูกการเผาผลาญจากแสงอาทิตย์ ถ้าพิสูจน์กันจริง ๆ

มองไม่เห็นดวงพระอาทิตย์ภายนอก ข้างบนไม่มี มีแต่แสงสว่าง แต่ว่าแสงอาทิตย์ขึ้นไปจากข้างล่าง กระทบท้องเจ้านี่ก่อน แล้วจึงได้ไหลเข้าไปคลุมหลังโลกนี้ ฟังแล้วก็คิดตามไป แต่ความจริงอย่าลืมว่า หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือนิทาน ที่ว่าจริง ๆ นั่น ก็ขอยืนยันว่า เป็นนิทานจริง ๆ เรื่องทั้งหมดจริงตามเรื่องของนิทาน

ถ้าหากว่าท่านผู้ใดมีความคล่องตัวในหลักสูตรที่ ๒ และที่ ๓ ของหมวดกรรมฐาน จะลองใช้การพิสูจน์ดูก็ได้ อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ถ้าหากว่าต้องการความจริง หรือไม่จริง แต่ที่พูดให้ฟังนี่ ไม่ได้พูดให้ใครเชื่อ ต้องการมาคุยกันแบบประเภทที่เรียกว่า เอาเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง แทนที่จะคุยธัมมธัมโมเฉย ๆ ถ้าคุยธัมมธัมโมเฉย ๆ อย่างนี้มันก็ง่วง ถ้าไม่ง่วงก็รำคาญ

ถ้าคุยเรื่องราวต่าง ๆ อย่างนี้ มันก็เพลินดี เพลินบ้าง รำคาญบ้าง ตามใจชอบ ก็รวมความว่า มาคุยกันต่อไป ทีนี้พระท่านก็ชวนชม บอกเราไปชมดวงดาวต่าง ๆ ข้างในดีไหม ความจริงเวลานี้อยู่ช่วงช่องปาก มองดูรอบ ๆ เจ้าดวงดาวต่าง ๆ คือโลกต่าง ๆ ขอให้ศัพท์ว่าโลก หรือดวงดาว ตามเขาก็ได้ ตามใจชอบ เจ้าโลกต่าง ๆ หรือดวงดาวต่าง ๆ ที่มันลอยอยู่ข้างใน มันลอยอยู่ห่างกัน

ไม่มีการกระทบกัน ทีนี้นอกจากดวงดาว หรือโลก มันก็มีสิ่งหนึ่งเล็ก ๆ มองดูแล้วมันเป็น เครื่องบิน มันเป็นเครื่องบินของคนกลุ่มหนึ่ง บินไปมากคนบ้าง น้อยคนบ้าง ส่วนใหญ่ไปมาก และตัวเครื่องบินจริง ๆ ด้านข้างเป็นกระจกทั้งหมด เห็นคนชัด เจ้าเครื่องบินประเภทนี้มักจะมีกล้องส่อง สังเกตแล้วเป็นกล้องถ่ายรูป อาจจะเป็นกล้องโทรทัศน์ก็ได้ อะไรก็ตามใจ ไม่ได้ถามเขา

เขาอยู่ในประทุน ไม่มีโอกาสพูดกันได้ เขาก็ส่องดูด้วยความพอใจ วิ่งไปใกล้ดวงดาวโน้นบ้าง ใกล้ดวงดาวดวงนี้บ้าง แต่รู้สึกว่า ไปไม่ไกลนักก็กลับ ถ้าจะถามว่า การใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ประเดี๋ยวก็คุยกันได้ ที่โน่นนะ ไปบนผิวโลกเสียก่อนค่อยคุยกัน ตอนนี้ก็มาคุยกันถึงการเข้าชมดวงดาว ดาวบางดวงก็มีสภาพขรุขระ มีสภาพแกร่ง มีผิวขรุขระคล้ายหิน แล้วก็มีรังสี

มันมีออกมาร้อน ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ เป็นของที่ไม่น่าดู แต่บางดวงก็ต้องคิด บางดวงมีแสงสว่างในตัว เจ้าดาวที่มีแสงสว่างนี่สิ มันก็ช่วยบันดาลให้ช่องท้องของเจ้าโลกดำนี่ หรือเจ้าถุงดำ มันเกิดแสงสว่างขึ้น แสงสว่างจากดวงดาวก็มีอยู่หลายจุด ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง มันมีแสงสว่างในตัวของมันเอง เป็นเหตุให้เจ้าท้องของโลกดำนี่สว่าง บางที่ก็สว่างมาก บางที่ก็สลัว ๆ ตามแสงที่ส่งมา

ทีนี้ขณะที่แสงของดวงดาวมันส่อง สาดเข้าไปติดผิวของโลกดำ โลกถุงดำ หรือดาวถุงดำ ดาวถุงดำนี้ ในท้องของมันบางจุด ก็เป็นแสงแพรวพราวทำให้เป็นแสงสะท้อนกลับมา เกิดแสงสว่าง แต่ก็แปลกว่า ดาวที่อยู่ไกล ๆ เห็นแสงสว่างจ้าเหมือนกับดวงโคมไฟฟ้า แต่เข้าไปใกล้ดวงดาวนั้นจริง ๆ มันก็เป็นหิน เป็นดินธรรมดา ก็ไม่เห็นมันสว่าง แต่ถอยออกมาไกลพอสมควร

เห็นแสงสว่างของมัน อันนี้แปลก มันไม่ใช่ดวงอาทิตย์ แสงสว่างจริง ๆ น่ากลัวจะอยู่ข้างนอกดวงดาว อาศัยการเสียดสีจากอากาศให้เป็นแสงสว่าง หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ อันนี้ไม่เถียงวิทยาศาสตร์ ให้นักวิทยาศาสตร์เขาวินิจฉัย พิสูจน์เอง ทีนี้ดวงดาวบางดวงก็มีทรัพย์สินมาก เมื่อลอยเข้าไปแล้ว พระท่านบอกว่า ลงดวงดาวดวงนี้ เราเดินเที่ยวกัน ก็เป็นอันว่า

ดวงดาวทุกดวงที่เข้าไปในนั้น ไม่มีสิ่งที่มีชีวิต พระท่านก็บอกว่า ถ้าจะมีสิ่งที่มีชีวิตติดเข้ามา สิ่งที่มีชีวิตมันก็ไม่ตาย ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าอากาศมันพอจะสู้กันได้ ความเป็นอยู่พอสู้กันได้ แต่เท่าที่ลงไปเป็นดวงดาวแกร่ง เดินไปสัมผัสกับหินบ้าง สัมผัสกับดินบ้าง ที่เป็นดินธรรมดาก็มีเยอะ สัมผัสกับหินบ้าง สัมผัสกับทรายบ้าง เมื่อถึงจุดหนึ่ง ท่านบอกว่า เอามือล้วงลงไปซิ

พอล้วงลงไปใต้ทราย งัดขึ้นมามันเป็นแก้วติดมือมา ท่านก็บอกว่า ที่ใสใส นั่นคือ เพชร แล้วก็บางจุดก็ต้องทุบ บางจุดก็ไม่ต้องทุบ บางจุดถ้าทุบแล้ว มันเห็นเป็นเพชร แต่ก็เป็นเพชรประเภทที่เขาต้องสกัด หรือเจียระไน แต่บางจุดมันก็เป็นเพชรใสแท้ ๆ เป็นเม็ดใหญ่ ๆ แพรวพราวเป็นระยับ ก็ถามท่านบอกว่า อันนี้เป็นสมบัติส่วนตัวของคน

เขาฝังไว้หรืออย่างไร ท่านบอกว่า ไม่ใช่ หินที่คุณเห็นเมื่อกี้นี้น่ะ ความจริงมันไม่ใช่หินเพชรทั้งก้อน มันเป็นหินประกอบไปด้วยรังสี ใช้งานได้ ใช้งานทั้งในด้านสันติ และการรบราฆ่าฟัน แต่ว่าร่างกายของเรานี้ ที่เรามากันนี่ มันเป็นร่างกายประเภทที่รังสีทำอันตรายไม่ได้ และขณะที่มันมีเปลือกหุ้มห่ออยู่ ท่านก็ชี้ให้ดูว่า ก้อนนี้น่ะ มันมีสีเคลือบอยู่ข้างนอก สีมัวมาก

ไอ้ตัวเคลือบนี่ มันหุ้มรังสีอยู่ ถ้าจะใช้งานให้เป็นประโยชน์ เป็นพลังงาน ต้องทำลายตัวเคลือบนี้ให้หมดไป แล้วก็จัดสิ่งหนึ่งใหม่เข้ามาเคลือบแทน รังสีจะไม่กระจายออก จะออกไปตามที่เราจะใช้ ก็ถามท่านบอกว่า ในเมื่อมันมีรังสีแบบนั้น แล้วที่ท่านบอกว่า เพราะอาศัยหินประเภทนั้น แล้วที่นำมาเจียระไนเป็นเพชร มันใสใสชอบกล ทำไมถึงจะเกี่ยวข้องกับเพชรชุดนี้ ท่านก็บอก

อันนี้มันไม่ยาก ในเมืองไทยที่เธออยู่ มันก็มีอยู่แล้ว อย่างที่ ภูเก็ต หินประเภทนี้ใช้อาศัยแรงงานได้ดี แต่ในเมื่อสภาพมันตายแล้ว มันจะกลายเป็นเพชร หลังจากที่เธอเขียน หนังสือพระเมตตา เสร็จ ไม่เกิน ๒ เดือน ที่ตรงนั้นเขามีคนได้เพชร คนหน้าตะแกรงของแร่ดีบุก เขาเรียกกันว่า เพชรซีก แต่มีน้ำสวยมาก เขานำมาขายที่ร้านค้าที่นั่นมีได้ฉันใด

เพชรพวกนี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าแร่ประเภทนี้มันกลายสภาพ หมดฤทธิ์ ตาย มันก็จะกลายเป็นเพชร ตามที่เธอหยิบขึ้นมาเมื่อกี้นี้ พอฟังท่านอธิบายแล้ว ก็ดูเพชรพวกนั้น มันสวยจริง ๆ ถ้าเราเอามาแล้ว ก็มีอย่างเดียวคือทำให้มันเป็นหัวขึ้นมา จะทำหัวประเภทไหน ๆ ได้หมด แพรวพราวเป็นระยับ ยกขึ้นส่องนี่ มันติดอกติดใจ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย มาพบไม้งามเมื่อขวานบิ่น

เพราะอะไร เพราะเวลานี้ ตัวอยาก มันก็ยังอยากอยู่ แต่ไม่ใช่อยากได้เพชร มันอยากจะมีความสุข ชนิดที่เรียกว่า ไม่ต้องมีอะไรเข้ามาช่วย ไม่ต้องมีข้าวมาช่วย ไม่ต้องมีกับข้าวมาช่วย ไม่ต้องมีขนมมาช่วย ไม่ต้องมีเพชรนิลจินดา ทองหยองมาช่วย ถ้ามันจะอยู่เฉย ๆ อย่างมีความสุข อันนี้ชอบ อยากตัวนี้ มันอยากกันคนละตัว เป็นที่น่าเสียดาย

เมื่อสมัยที่ยังหนุ่ม ๆ อยู่ มีแรง ถ้าพบอย่างนี้แล้ว เพชรก็เพชรเถิด ทองก็ทองเถิด ขนกันแน่ แล้วต่อมา ท่านก็พาเดินต่อไป แล้วก็ชี้ให้ดูว่า จุดทั้งหลายนี้มีทรัพย์สิน มีแร่ที่มีคุณค่ามาก ก็กราบเรียนถามท่านว่า อย่างนี้โลกมนุษย์มีไหม ท่านบอกว่า มี หลายจุดมีเหมือนกัน แต่ว่าที่นี่เขามีอายุยืนยาวกว่า เขาแกร่งกว่า ใช้ได้ประโยชน์ดีกว่า ก็ถามท่านบอกว่า แร่อีก

ประเภทหนึ่ง คือ แร่ทองคำ มีไหม ท่านบอกว่า มี แต่ว่าโลกที่เรายืนอยู่นี้มันมีเป็นจุด มีเป็นจุด ๆ มีเป็นหย่อม ๆ ไปดูโลกที่เป็นทองคำล้วนดีไหม แหม..น้ำลายหก ไม่ใช่ไหล หกจ๊อก ป๊อก ลงไปเลย พอท่านบอกแบบนั้น ยอมรับ ทุกท่านยอมรับ ก็ออกจากโลกนั้นไป โลกเล็ก ๆ ที่อยู่ในท้องโลกดำ ออกจากโลกนั้นไป ไปด้านหน้านิดหนึ่ง

ไม่ไกลนัก ข้ามโลกต่าง ๆ ที่ขวางหน้าไปประมาณสัก ๓ โลก โลกนี้มีสภาพบุ๋มลงไป มันมีแสงขึ้น แสงเรืองเหลืองอร่ามเป็นประกาย เพราะกระทบกับแสงสว่างของดวงดาวที่ไม่ไกลนัก เข้าไปใกล้ ๆ พอลงไปแล้ว ทองที่มองเห็นมันเป็นเม็ดทราย มันไม่ได้เป็นแท่ง หยิบขึ้นมาได้ทันทีเหมือนกับกองทรายที่เรามีอยู่ ก็ถามท่านว่า โลกนี้มันเป็นทรายทั้งโลกใช่ไหม

ท่านบอกว่า ไม่ใช่ มันเป็นเฉพาะผิว จากผิวนี่ลึกลงไปประมาณ ๓ กิโลเมตร เป็นทรายทองทั้งหมด ถามท่านว่า บริเวณท่านบอกว่า บริเวณรัศมีของมัน ที่อยู่ของมันจริง ๆ เฉพาะจุดนี้ประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ระยะยาว ระยะกว้าง กว้างประมาณ ๓ กิโลครึ่ง แล้วถามท่านว่า ที่อื่น ท่านก็บอกว่า ที่อื่นก็มีเป็นจุด ๆ อย่างนี้แหละ ก็เดินกันเรื่อย ๆ ไป ดูไปรอบ ๆ

เป็นอันว่า โลกนี้มีทองคำมาก ก็เป็นโลกกิเลส เวลานี้ตำหนิว่า ทองคำเป็นกิเลส หรือเวลาที่อยู่ที่ดวงดาวนี้ก็ตำหนิว่า ทองคำเป็นกิเลส ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าแบกหาม หยิบเอามาไม่ได้ จะใช้ศัพท์แบบชักผ้าบังสุกุล อิมํ วตฺถํ อสฺสามิกํ อุปฺเปมิ หรือว่า อิมํ สุวณฺณํ อสฺสามิกํ อุปฺเปมิ เขาแปลว่าอย่างไรก็ไม่รู้ ว่ามันส่งเดชไป จะถือว่าของนี้ไม่มีเจ้าของ

หรือทองไม่มีเจ้าของ แล้วถือเอา มันก็ไม่แน่ เขาอาจจะมีเจ้าของก็ได้ ถ้าไม่มีเจ้าของจริง ๆ เราก็เอามาไม่ได้ มือที่จะหยิบของที่เป็นวัตถุ มันก็ไม่ได้เอาไป เป็นที่น่าเสียดาย ที่ปล่อยให้หมอท่านรักษาแต่แค่ฟัน เราดันลืมมือไปเสียนี่ ทีหลังถ้าจะไปใหม่ ต้องเอามือไป บอก หมอมีหน้าที่รักษาฟัน ก็รักษาไปเถิด ฉันจะเอามือไปด้วย ช่วยหยิบทองคำ หยิบเพชรมาให้หมอ

หมอจะเอาหรือไม่เอาก็ไม่ทราบ ถ้าหมอไม่เอา ก็ไม่เป็นไร ก็เอามาแจกเด็ก ๆ เด็ก ๆ ที่เลี้ยงไว้เวลานี้เกือบ ๓๐๐ คน เลี้ยงด้วย ให้เสื้อผ้า ผ้าผ่อนท่อนสไบเสร็จ เหมือนกับพ่อแม่เลี้ยง ให้อาหารการบริโภค ให้วิชาความรู้ถึง ม.๖ แล้วก็ภาระต่าง ๆ ก็มีเยอะ วัด ก็มีพระ ก็มีคน การก่อสร้างก็มี ฉะนั้นถ้าบังเอิญเอามือไปได้ทองคำมา ได้เพชรมา ก็ขายสร้างวัด

แต่ว่าเป็นที่น่าเสียดายว่า ร่างกายมันก็อายุมากสำหรับคนโลกชมพู มันคงจะแบกมาได้ไม่มาก ฉะนั้นใครที่เป็นหนุ่มเป็นสาว มีกำลังมาก ๆ เพราะร่างกายดี ช่วยไปโลกนี้ทีเถิด ไปขนทองมา แล้วขอแบ่งส่วนแค่ ๑ เปอร์เซ็นต์ก็พอ ตามน้ำหนัก เอ้า..กิเลสท่วมหัวคนเดียวไม่พอ ยุชาวบ้านเขามีกิเลสอีก นี่คำว่า คน มันแปลว่า ยุ่ง ไม่ดีแบบนี้

หลังจากนั้นไป ท่านก็พาไปชมสถานที่ต่าง ๆ ไปถึงก้นของโลก มันไกลจริง ๆ ถ้าใช้กำลังตาหลบมานิดว่า เวลานี้ใช้กำลังตาเท่าตาเนื้อ ไม่มีความหมายเลย มันมืดตื้อ หมายความว่า มองไปแล้วสุดสายตา มันยังไม่หมดสถานที่ สถานที่มันกว้างจริง ๆ การเข้าไปอยู่ที่นั่น ก็มีสภาพเหมือนเข้าไปอยู่ในท้องฟ้า มองดูจากปากไปหาก้นมัน ด้านบนก็เหมือนฟ้าเราดีดี ไกลมาก

มองไปข้าง ๆ ก็เจอะเป็นฝ้า มองตัดหน้าไปถึงฝ้า ก็มีฝ้าต่อไป แล้วขึ้นไปที่เห็นเป็นท้องฟ้า พอเห็นแล้วก็ เหมือนกับเราขึ้นเครื่องบินว่า เมฆสูงแสนสูง แต่ขึ้นไปแล้วมันก็ไม่สูง เลยเมฆไปก็มีฟ้า สูงไปเท่าไรอีก เลยฟ้าขึ้นไปอีกมันก็มี ฟ้าซ้อนฟ้า หรือฟ้าเหนือฟ้า อันนี้มีสภาพฉันใด แม้ในโลกนี้มันก็เช่นเดียวกัน เมื่อวนไปเวียนมา ๆ อยู่พักหนึ่ง ก็ถามพระท่านบอกว่า

ยานพาหนะที่มีลักษณะกลม ๆ แล้วบินร่อนไป ร่อนมานี่เขาเรียก จานบิน ใช่ไหม พระท่านก็บอกว่า จานข้าว เอามาบินไม่ได้ มันต้องร่อน แต่นี่ลักษณะมันคล้ายกับยาน เป็นยานพาหนะของคน มองไปทางด้านซ้ายมือ เห็นเหมือนกับเรือยนต์ วิ่งมา ลักษณะมันก็เหมือน ๆ คล้าย ๆ กับเรือบินของเรา แต่รูปร่างหน้าตา มันโตกว่า มันใหญ่กว่าเยอะ เทอะทะ แล้วก็มีปีก

ท่านบอกว่า นี่เครื่องบินของเขา บรรทุกคนมามาก ก็ถามพระท่านบอกว่า คนพวกนี้มาจากโลกไหน ท่านบอกว่า ที่เป็นเรือยนต์ เป็นเครื่องบิน เป็นคนของโลกนี้เอง บนผิวโลกโน้นเขามากัน แล้วเครื่องยนต์ของเขา เขาไม่ได้ใช้น้ำมัน เขาใช้แร่ ใช้รังสีของแร่ขับเคลื่อน เหมือนกับนิวเคลียร์กระมัง แบบนั้น ถ้าใช้เป็นน้ำมัน มันก็บรรทุกไม่ไหว ต้องใช้น้ำมันกันมาก

ก็ชมกันไป ชมกันมาอยู่พักหนึ่ง เห็นว่าทั่ว ไปทั่วแน่ ไปรอบ ๆ ทั่วแน่ ดูไปดูมาก็นึกสงสารดาวพวกนั้นว่า ดาวพวกนี้มันจะกินข้าวที่ไหน แต่นึกในใจว่า ดาวมันเป็นวัตถุ มันก็กินข้าวไม่ได้ แต่มันก็ถูกกลืน มันลอยเข้ามา ไม่ใช่กลืน ไม่ใช่ดูด เขาลือกันว่า มันเป็นกำลังดูด ที่ดูดแม้แต่ดวงดาวเข้าไปน่ะ ไม่ใช่ มันเหมือนกับผักที่ลอยผ่านหน้าถ้ำจระเข้า แต่ก็พอดีน้ำไหลวนเข้าไป

มันก็วนเข้าไปตามน้ำ เข้าไปในถ้ำจระเข้ฉันใด ดาวพวกนี้ก็เหมือนกัน อากาศที่มันเคลื่อนเข้ามา มันก็ดันดาวพวกนี้เข้ามาใกล้ เมื่ออากาศไหลไปทางไหน ดาวก็ไหลตามไป มันไม่มีเครื่องขับเคลื่อน ไม่สามารถจะฝืนได้ แต่บางดวงก็ใหญ่ บางดวงก็ไม่ใหญ่นัก แต่ดาวแต่ละดวง ที่เราเรียกว่า โลก ก็ไม่เล็กกว่าโลกมนุษย์ที่เราอยู่กัน เปรียบเทียบกันแล้ว

แต่ละดวงนั้นไม่เล็กกว่า มีแต่โตกว่าบ้าง มีเสมอกันบ้าง เสมอกันนั้นก็น้อย แต่โตกว่านั้นมีมาก เมื่อชมกันพอสมควร พระท่านก็ชวน บอกว่า ขึ้นไปผิวโลกดีไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ดี ตอนนี้ก็ออกมาทางปาก มันก็ไม่ยาก ก้าวเพียงก้าวเดียวก็มาถึง อย่าลืมนะว่า เรื่องนี้เป็นนิทาน คนฟังทุกคนอย่าลืม สติสัมปชัญญะอย่าลืมว่า เรื่องนี้เป็นนิทาน

นิทานนี่คุยแบบไหนก็ได้ แบบยาขอบเขียนเรื่องผู้ชนะสิบทิศ เขาบอกว่า เรื่องราวจริง ๆ ท้องเรื่องจริง ๆ มีประมาณ ๒-๓ บรรทัด หรือกี่บรรทัดก็ไม่ทราบ ไม่กี่บรรทัดหรอก น้อย แต่ยาขอบแต่งไม่รู้กี่พันหน้า ก็เป็นเรื่องนิทานเหมือนกัน เรื่องนี้ก็เหมือนกัน เรื่องจริง ๆ ก็มีแค่ดวงดาว ดวงดำ ๆ เรื่องนิดเดียว มีดวงดาวถุงดำนี่แหละ ก็ลือกันไป ลือกันมาว่า

ฝรั่งส่องกล้องเห็นดูดดาวอะไรต่าง ๆ ดูดแสงอะไรต่าง ๆ เข้าไป แล้วก็ไม่สามารถจะไหลออกมาได้ มันหายเข้าไปหมด ดูสภาพแล้วมันดุดัน น่ากลัวเหลือเกิน แต่ความจริง โลกนี้ก็มีสภาพเหมือนกับพระพุทธรูป พระพุทธรูป ท่านนั่งเฉย ๆ และก็ยิ้มตลอดเวลา แต่บางคนไปบนบานศาลกล่าว เมื่อบุญบารมีของตัวเองมี กำลังความดีของพระก็ช่วยได้ ก็ช่วย

ถ้าบุญบารมีของตัวไม่มี มีแต่ความชั่ว พระก็ช่วยไม่ได้ คนชั่ว ทีนี้บนให้ถูกหวย หวยไม่ถูก บางคนถูกหวย ไปแก้บนพระ พระพุทธนะ ถ้าพระสงฆ์นี่ไม่แน่ พระบอกหวยไม่ได้รวยทุกองค์หรอก จน พวกถูกหวยนี่ ไม่เคยแบ่งให้ ถ้าไม่ถูก ด่า ไม่ถูกเมื่อไหร ด่าเมื่อนั้น ถ้าถูกเมื่อไหร เงียบ มีขันติ อดทนมาก มีอุเบกขา วางเฉย ไม่แบ่ง ไม่ปันให้

พระที่ให้หวยทุกองค์น่ะ ซวย ก็แบบเดียวกับเจ้าโลกดำนี้ เมื่อเข้าไปแล้ว ให้เขามีความสุข พัก ให้มีการไหลอยู่ในเฉพาะขอบเขต ไม่ต้องไหลไปกว้างนัก แต่ว่าดวงดาวต่าง ๆ มันจะขอบใจบ้างหรือเปล่า ก็ไม่ทราบ แต่ความจริง มันเฉย แต่ดวงดาวก็คงไม่บ่น ที่เข้าไปแล้วออกมา หรือเข้าไปยังไม่ออก มันก็ไม่บ่น แต่คนที่ไม่เกี่ยวข้อง มันบ่น มันหาว่าดวงดาวนี้ดุร้าย

ดูดไม่ว่าอะไร ดูดแล้วเข้าเก็บหมด แต่ความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างไหลออกมาตามสภาพเดิม ดวงที่ออกไวที่สุด เข้าไปแค่ปาก ไม่ลึกนัก กระทบนั่น กระทบนี่ เข้ากลางไม่ได้ เข้าลึกไม่ได้ อย่างเร็ว ๓ ปีออก แต่ดวงที่เข้าไปก้นลึกจริง ๆ ๑๐๐ ปียังไม่ออก รอมันออก นั่งจ้องแบบนั้น อย่าเลิก จะเห็นว่า ดาวมันไหลออกมาได้

ก็รวมความว่า คุยมากเกินไป เขาขยับขยายมาทางปากทาง ออกปากช่องล่องมาข้างนอก ลอยมานิดหนึ่ง แป๊บเดียวถึง ขึ้นไปทางด้านใต้ของโลกนี้ ขึ้นไป ๆ เห็นสีดำ ๆ ๆ เข้ม ๆ แล้วก็แข็ง ต่อไปไม่ช้าก็พบแผ่นดิน ดินก็มีสภาพแข็ง เครียด ยังไม่มีต้นหญ้า ต่อไปไม่ช้าไม่นานนัก ประเดี๋ยวก็เจอะต้นหญ้าหรอมแหรม ๆ แสดงว่า ความชุ่มชื้นเริ่มมี ต่อไปก็เจอะป่า ป่าเขียวชะอุ่ม

ไม่เหมือนป่าประเทศไทย ประเทศไทยป่าไม้แห้ง แต่ป่าทรายเขียวชะอุ่ม เขียว หรือ ไม่เขียว ก็ไม่ทราบ ถ้าป่าไม่เขียว คนที่อยู่กลางป่าก็หน้าเขียว เพราะมันอด ป่าเขียวชะอุ่ม มีความชุ่มชื้น ต้องลอยข้ามป่าระยะไกลมาก ต่อมา ก็มองเห็นมหาสมุทร เป็นน้ำเขียวอ่อน ๆ มองแล้วชื่นตาชื่นใจ ไม่เขียวเข้มเหมือนทะเลของเรา เป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลมาก

ขึ้นไปทางทิศใต้นะ แล้วก็มองไปรอบ ๆ ไกลออกไปจากฝั่งมหาสมุทรพอสมควร มีเมือง มีเมืองอยู่หลายเมือง ตั้งเป็นระยะ ๆ มันก็ไกลกันนะ ระยะแต่ละเมืองไกลกันไม่น้อยกว่าร้อยโยชน์ แล้วก็มีเส้นทางถี่ยิบ มีถนนถี่ยิบ มียานพาหนะพอสมควร แต่เรื่องรถนี่แพ้ประเทศไทย รถยนต์เขามีน้อย นาน ๆ ถึงจะผ่านมาสักคัน ทุก ๆ สาย มองไปกลางเมืองก็เช่นเดียวกัน

มองไปแล้วก็ เอ๊ะ...รถมันไม่มาก นาน ๆ จะมีมาสักคัน อย่างเร็วที่สุดก็ประมาณสัก ๑๐ นาที ผ่านมาคันหนึ่ง ๒๐ นาทีผ่านมาคันหนึ่ง คนเดินกันเกลื่อนกลาด หมายความว่า คนก็เดินแต่ไม่เบียดเสียดเหมือนกรุงเทพฯ แม้จะเป็นเมืองหลวง ก็ลอยไป ลอยมาต่ำ ๆ มันเห็นได้ชัด พระท่านก็บอกว่า อย่าเพิ่งเดิน ลอยไป ลอยมาก่อน ดูมันเสียก่อน

ดูด้านผิวก็ลอยอยู่ไกล ๆ มันเห็นชัดดี เหมือนกับนั่งเครื่องบิน ลอยไปลอยมา ลอยมาลอยไป เห็นบ้านเมืองเขามีความสวยสดงดงาม เขียวชะอุ่มเหมือนกับต้นไม้ แต่มีตึกมีรามสวยมาก มีทางก็กว้างขวาง บ้านเมืองก็มีความสะอาด ชื่นใจ ทีนี้กิเลสมันยังมีในใจ ความอยากปรากฏ ก็กราบเรียนพระท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ขอลงใกล้ ๆ ที่ฝั่งมหาสมุทรได้ไหม

ท่านบอกว่า ได้ ท่านถามว่า เธอจะลงตรงไหน ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ถ้าหากว่าท่านเห็นสมควรตรงไหน ก็ลงตรงนั้น ท่านบอกว่า ไปตอนโน้นสิ หันหลังนิดหนึ่ง ไปจากนี้ไปประมาณ ๑๐ โยชน์ จะเข้าเขตเมืองท่า ๓ เมืองติดต่อกัน เป็นเมืองท่าของเมืองใหญ่ ที่ขนของลงเรือทะเล เป็นอันว่า เมื่อท่านสั่งดังนั้น ก็เห็นชอบด้วย เคลื่อนไปตามท่าน

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านผู้รับฟัง และผู้อ่าน พอขยับกายจะไปเมืองท่า ก็พอดีหมดเวลา ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังและผู้อ่านทุกท่าน
[color=blue]สวัสดี[/

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 2/1/12 at 13:47 [ QUOTE ]


3

ดาวหลุมดำ ตอนที่ ๕



ท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย สำหรับตอนนี้ก็ขอทุกท่านฟังหรืออ่าน เรื่องนิทาน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ที่บอกว่า เป็นนิทาน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็เพราะว่า เรื่องราวต่าง ๆ ที่นำมาพูดกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักบุญนักกุศลพูด มักจะนำเอาเรื่องพระสูตร ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน มาพูดกัน เป็นการแนะนำในเรื่องการบุญการกุศล

แต่ทว่าเรื่องต่าง ๆ ของดาวทั้งหมดที่กล่าวมาจากเล่มที่ ๑๑ ก็ตาม เล่มที่ ๑๒ นี้ก็ตาม เป็นเรื่องนิทานจริง ๆ ฉะนั้น ความเป็นมาของนิทานก็ถือว่า เรื่องต่าง ๆ จะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้ เพราะว่า เรื่องจริงที่ไม่สามารถจะสอบสวนได้ ก็เป็นนิทาน แต่เรื่องนิทานที่เป็นความจริงที่ไม่สามารถจะสอบสวนได้ ก็ต้องเป็นนิทานเหมือนกัน รวมความว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องของนิทาน

ทีนี้ก็มาคุยกันว่า หลังจากที่ขึ้นมาจากท้องของดาวดวงนี้แล้ว ที่กล่าวกันว่า ดวงดาวดวงนี้ดุร้ายมาก อะไรก็ตามถ้าเข้าไป มันดูดหมด และดูดหายเข้าไปหมด โลกต่าง ๆ ดาวต่าง ๆ ก็ดูดหายเข้าไปในท้อง แม้แต่แสงสีต่าง ๆ ก็สามารถจะดูดหายเข้าไปในท้องได้หมด มองไม่เห็นแสง ความจริงจะว่า ดูด ก็ถูก หรือจะว่าสิ่งทั้งหลายต่าง ๆ ไหลเข้าไปจากอากาศดัน ก็ถูกอีกเหมือนกัน

ถ้าพูดว่า ดูด เป็นศัพท์นิยมของชาวโลกพูดกัน เช่น น้ำดูดเข้าไปในโพรง น้ำดูดเข้าไปในถ้ำ น้ำดูดเข้าไปในวน ความจริงจะว่า น้ำดูด ก็ไม่ถูกนัก น้ำข้างหลังดันมา ข้างหน้าไหลเข้าไปในโพรง จะเรียกว่า น้ำดัน ก็ไม่ผิดเหมือนกัน เรื่องนี้ก็เหมือนกัน จะขอกล่าวว่า เป็นเรื่องของอากาศดันเข้าไปและก็หายเข้าไป ความจริงการหายนี่ หายเข้าไปนาน ถ้าจะใช้เวลาดูกัน จะใช้เวลาแรมปี

ถ้าหากว่าเราจะสังเกตว่า ดาวดวงนี้ถูกดาวถุงดำดูดเข้าไป และตั้งหน้าตั้งตาสังเกตไว้ว่า มีตำหนิอะไร สีสันวรรณะเป็นอย่างไร ลักษณะเป็นอย่างไร สังเกตไว้ และก็ต้องถ่างตาดูกันเป็นปี ๆ ไม่ใช่ดูกันเป็นชั่วโมง หรือไม่ใช่ดูเป็นวัน ใช้เวลาอย่างน้อย ๆ น้อยที่สุดก็ต้อง ๓ ปี หรือ ๗ ปี หรือ ๓๐ ปี หรือ ๑๐๐ ปี บางที ๑๐๐ ปียังไม่ออกมาก็มี ถ้าหากว่าจะมีใครตะโกนถามมาว่า

รู้ได้อย่างไร ก็ขอตอบ ไม่ต้องตะโกนตอบ กระซิบตอบว่า รู้ได้ เพราะเป็นนิทาน เรื่องนิทานพูดกันอย่างไร ก็พูดได้ เมื่อออกมาจากท้องดาวเสร็จ ก็เหินมาตามอากาศ ใกล้ ๆ กับพื้นแผ่นดิน วันนี้คุยกันให้ได้เต็มที่ ใช้คำว่า เหิน คือ ไม่ใช่เหาะ เหาะสูง เหิน ต่ำ นี่เป็นศัพท์ของคนสร้างนิทานเหมือนกัน ไม่ใช่ศัพท์ที่นิยมกันทั่ว ๆ ไป ครั้นเมื่อมาถึงสถานที่ที่มีบ้านเมืองอยู่

ด้านทิศใต้ของดวงดาว คือ ด้านทิศใต้ของมหาสมุทร เห็นมหาสมุทรเข้า ก็ลงต่ำ แล้วก็เหินเรื่อย ๆ ไป ชมเมืองต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน ลึกมาก เป็นเมืองที่มีความสวยสดงดงามมาก มีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม บางทีก็พร้อมมากกว่าโลกของเรา บางอย่างโลกของเราไม่มี แต่เขามีพร้อม มีอะไรบ้างก็ช่าง

และต่อมา ในเมื่อจิตใจมีความพอใจในมหาสมุทร มหาสมุทรที่เห็นนี่ สีเขียว มีความสวยสดงดงามมาก จึงย่องเข้าไปใกล้ ๆ ไหลเข้าไปชิด เมื่อเข้ามาถึงแถวใกล้ฝั่งมหาสมุทร ก็เห็นเมือง ๓ เมืองด้วยกัน มี ๓ เมืองที่ตั้งอยู่ที่นั่น สวยสดงดงาม ห่างกันไม่ไกลนัก ก็ลงมาที่พื้นแผ่นดิน เมื่อลงมาที่พื้นแผ่นดินแล้ว

ก็ตั้งอกตั้งใจว่า ดูกันละ เอาให้เต็มที่ ก็คิดว่า เมืองนี้มีความสวยสดงดงามดี หาทางลง การลงไม่ต้องหาสนามบิน ไม่ต้องมีรันเวย์ เพราะว่าผู้พูดและคณะ ไม่มีล้อ มีแต่ขา มองไปมองมา ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ กลุ่มใหญ่ หลายคน แต่กลุ่มเล็ก ๆ ก็มี ๒-๓ คน อีกจุดหนึ่งมีคนเดียว ห่างจากกันประมาณสัก ๑๐ เมตร คนนี้อยู่คนเดียว กำลังเอามือ จิ้มโน่นจิ้มนี่

อาการของเขาแสดงว่า เป็นคนบอกสัญญาณอะไรสักอย่างหนึ่ง จึงลงไปที่นั่น เมื่อลงไปที่นั้นแล้ว ก็เดินเข้าไปหาคนนั้น ก็พอดีถึงเวลาเขาว่างพอดี พอเข้าไปใกล้ โผล่หน้าเข้าไปหน้าประตู เขาก็ยกมือร้องอีโละโก๊ะเก๊ะ อะไรก็ไม่ทราบ ภาษาของเขา พูดเสียงสั้น ๆ หนัก ๆ คล้าย ๆ ภาษาญี่ปุ่น ถ้าฟังเป็นภาษาของเรา

ก็ฟังได้ว่า เชิญขอรับ เชิญท่านผู้มีเกียรติซึ่งมาจากโลกอื่น เชิญท่านนั่งบนเก้าอี้ซิขอรับ นี่ฟังเป็นภาษาของเรา เขาพูดยาว ทั้งหมดประมาณ ๑๐ ท่าน ก็เข้าไปในอาคารของเขา อาคารของเขาเรียบร้อย มีเก้าอี้ มีโต๊ะรับแขก มีทุกสิ่งทุกอย่างหมด เขาชี้ให้นั่ง พอนั่งเสร็จก็มีคน เจ้าหน้าที่ของเขา จะถือว่าเป็นคนรับใช้ก็ไม่ถูกนัก

มีเจ้าหน้าที่ของเขานำเอาน้ำเย็นมาให้ และก็ส่งดอกไม้ให้คนละดอก เขาบอกว่าเป็นการแสดงการต้อนรับท่านผู้มีเกียรติ ที่มาจากโลกอื่น เขาพูดเป็นครั้งที่ ๒ จึงถามว่า ท่านทราบได้อย่างไร ว่า คณะของข้าพเจ้ามาจากโลกอื่น เขาบอกว่า อันดับแรกที่จะมองเห็นคือ เครื่องแต่งตัวไม่เหมือนกัน ก็ถามเขาว่า ก็มีผ้า มีเสื้อเหมือนกัน เขาบอกว่า เสื้อผ้า แต่มันไม่เหมือนกัน

เสื้อผ้าของท่าน ท่านจะเผลอไปกระมัง คณะของข้าพเจ้าใช้ผ้าธรรมดา แต่คณะของท่าน ใช้ผ้าประดับไปด้วยเพชร พอเขาพูดอย่างนั้น ก็ตกใจ เพราะพวกเราลืมแปลงกาย ลืมเอาเครื่องแต่งกายเปลี่ยนตัวมา เรียกว่า ลืมเปลี่ยนเครื่องแต่งกายก็แล้วกัน ก็บอกว่า เครื่องแบบอย่างนี้ เป็นปกติธรรมดาของคนไม่ใช่หรือ

เขาบอกว่า ใช่ แต่คนบางพวก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนในเมืองนี้ ในประเทศทั้งหลายเหล่านี้ หลาย ๆ ประเทศ ไม่มีเครื่องแต่งกายอย่างนี้ เพราะว่าแก้วที่ประดับเสื้อผ้าของท่านมีราคาแพงมาก ซึ่งไม่มีใครเขาแต่งกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนแถวนี้ ถ้าจะมี ก็ใส่คอนิดหนึ่ง คล้องสร้อย หรือว่าทำแหวน หรือทำสร้อยข้อมือ อย่างนี้เป็นต้น แต่ที่ติดผ้าทั้งผืน ไม่มีใครเขาทำกัน ฟังเขาแล้วก็ยิ้ม

แล้วก็นึกในใจว่า ขอเครื่องแต่งกายสภาพที่ปกติ ให้หายไปมีเสื้อผ้าธรรมดาปรากฏ ก็ลืมนึกไปอีกว่า เสื้อผ้าธรรมดา มันควรจะเป็นกางเกง กับเสื้อ กลับเป็นเสื้อผ้าธรรมดา เป็นผ้าถุง มีผ้าคลุมตัว แล้วสีมันก็ออกจะเป็นสีส้ม ๆ สีเหลือง ๆ พอเขาเห็นเข้า เขาก็ตกใจ แสดงท่าตกใจ พอตกใจเขาทำอย่างไร เขาลงจากเก้าอี้ ก้มลงกราบ

ถามว่า ท่านกราบทำไม คณะข้าพเจ้าทั้งหมดก็มีสภาพเหมือนท่าน เป็นคนเช่นเดียวกัน และเป็นแขกผู้มา เขาบอกว่า แขกประเภทนี้ เขารู้จัก มาเป็นครั้ง เป็นคราว คือ ไม่ได้มาบ่อยนัก ถ้ามาทีไร ทุกอย่างที่นำมาให้ก็คือ ความสุข พอดีพระท่านเตือน ท่านบอกว่า คุณ คุณนึกอย่างนี้มันไม่ถูก เขาก็จับได้น่ะสิว่า คณะของเราเป็นใคร คุณนึกใหม่ดีกว่า นึกว่าให้เป็นเสื้อ เป็นกางเกงอย่างเขา

ก็เลยนึกตามนั้น เขาเห็นเข้า เขาก็แปลกใจอีกว่า เมื่อกี้ เครื่องแต่งตัวชุดที่ ๒ หายไปไหน ทำไมถึงกลายเป็นเสื้อ เป็นกางเกง ก็บอกเขาว่า ในเมื่อเรามีเสื้อ มีกางเกงเหมือนกัน ก็นั่งเสมอกันก็แล้วกัน เขาบอกว่า ยังนั่งไม่ได้ เพราะอาการอย่างนี้ พระใหญ่ เคยมาแสดง ถามเขาว่า พระใหญ่ของท่านนั้น คือใคร ท่านจำชื่อได้ไหม เขาบอกว่า จำได้ ถามว่า ใคร

เขาบอกว่า พระใหญ่ของเขาคือ พระโมคคัลลาน์ พอฟังแล้วก็ตกใจ ถามว่า พระโมคคัลลาน์เคยมาที่นี่หรือ ท่านรู้จักพระโมคคัลลาน์หรือ เขาก็ตอบว่า คนส่วนใหญ่ที่นี่ รู้จักพระโมคคัลลาน์ดี จึงถามเขาว่า ท่านมาเมื่อไร เขาก็ตอบว่า ท่านมาเป็นครั้งเป็นคราว แต่ว่าระยะนี้ห่างไปหน่อย ไม่เห็นท่านมา

ถามว่า เวลาที่ห่างไปจากระยะนี้ ที่ท่านเคยมา เป็นช่วง ถ้านับตามปีของจักรวาลมนุษย์ พอพูดว่า จักรวาลมนุษย์ เขาก็ยิ้ม เขาบอกว่า จะถามจักรวาลไหน จักรวาลนี้ ที่คุยนี่ก็เป็น จักรวาลมนุษย์เหมือนกัน พวกข้าพเจ้าทั้งหมดก็เป็นมนุษย์ ก็เลยตกใจว่า พูดผิดอีกแล้ว คนขาดสติสัมปชัญญะ มันเป็นอย่างนี้ ก็เลยบอกว่า จักรวาลมนุษย์มีมากใช่ไหม เขาบอกว่า มาก เท่าที่

พวกเขารู้จักกันดีก็มี ๔ จักรวาล คือ จักรวาลของเขานี่หนึ่ง เวลาที่คุยนี่หันหน้าไปทางทิศใต้ จักรวาลที่สองก็เป็นจักรวาลที่มองเห็น ถ้าใช้กล้องระยะไกล ๆ ก็จะมองเห็นจักรวาลใหญ่ลอยอยู่ด้านซ้าย แล้วต่อไป อีกช่วงระยะหนึ่ง ก็มีอีกจักรวาลหนึ่ง และอีกจักรวาลหนึ่งก็อยู่ทางด้านเหนือ เป็นจักรวาลใหญ่เหมือนกัน ลอยอยู่ในผิวเดียวกันของจักรวาล

ก็ถามเขาว่า จักรวาลนอกจากนี้มีที่ไหนอีก เขาบอกว่า เขาไม่ทราบ คิดว่าดวงดาวต่าง ๆ ทั้งหมดในจักรวาลนี้ เป็นจักรวาลที่อยู่ของคนบ้าง ปราศจากผู้คนบ้าง เป็นจักรวาลว่างบ้าง แต่เท่าที่เขารู้จักจริง ๆ มี ๔ จักรวาล รวมทั้งจักรวาลนี้ด้วย ก็ถามความเป็นมาว่า คนในจักรวาลทั้งหมด หรือทุก ๆ จักรวาล ท่านรู้จักคนไหม เขาก็ตอบว่า รู้จัก

ถามเขาว่า รู้จักกันอย่างไร ท่านติดต่อทางวิทยุหรือทางไหน เขาบอกว่า เมื่อกี้นี้ก็ลองติดต่อกัน เพราะว่า มนุษย์จักรวาลต่าง ๆ เขาจะมากัน เขาจะมาเที่ยวกัน มีฐานเป็นที่ลง มีสนามบินเป็นที่ลง ก็เลยถามเขาต่อไปว่า ในเมื่อจักรวาลต่าง ๆ มีมาก เวลาเท่ากันไหม เขาบอกว่า เวลาไม่เท่ากัน ก็เลยยกนาฬิกาให้ดูว่า นาฬิกาที่เดินแบบนี้ วนไปรอบหนึ่งถือว่าเป็นครึ่งวัน

ของจักรวาลโลกชมพู ถ้าหมุนไปอีกรอบหนึ่ง ถือว่าเป็นเวลาเต็มวัน เวลากลางคืนและเวลากลางวัน รวมเวลาแล้ว ๒๔ ชั่วโมง เป็น ๑ วัน เขาก็มีนาฬิกาเหมือนกัน มันก็เดินเหมือนกัน เขาบอกว่า ถ้านับเวลาอย่างนี้นะ ต้องถอยหลังไปประมาณ ๒,๐๐๐ ปีเศษ ที่พระโมคคัลลาน์ท่านมาบ่อย ๆ แต่ว่าระยะหลังจากนั้น ท่านก็มาบ้างเหมือนกัน แต่มานาน ๆ ครั้ง

ถ้าจะเทียบตามเวลาของจักรวาลที่ยกนาฬิกาขึ้นดูนี้ ก็จะใช้เวลาประมาณ ๒-๓ ปี จะมาครั้งหนึ่ง ก็ถามเขาบอกว่า เวลาตั้ง ๒,๐๐๐ ปีเศษ คนที่นี่อยู่ได้อย่างไร จะมีใครมีชีวิตอยู่ เขาก็ตอบว่า ข้าพเจ้านี่ เวลา ๒,๐๐๐ ปีเศษของท่าน มันเป็นเวลาเล็กน้อยเท่านั้นเอง ถ้านับเวลาตามนี้ คนในโลกนี้ทั้งหมด จะมีอายุถึง ๑๒,๐๐๐ ปี

เลยถามว่า เวลานี้ท่านมีอายุเท่าไร เขาบอกว่า เวลานี้อายุของเขาตั้งแต่เกิดมา ประมาณ ๘,๐๐๐ ปี ก็เลยนึกสงสัยว่า คน ๘,๐๐๐ ปีนี่หนุ่มมาก ดูหน้าตาแล้วคล้าย ๆ กับคนอายุสัก ๒๘ ปีของเรา ก็เลยถามเขาต่อไปว่า ในเมื่อพระโมคคัลลาน์ท่านมาแล้ว ท่านทำอะไร ท่านเอาอะไรมาให้ เขาบอกว่า อันดับแรกที่ท่านมา ท่านเอาความดีมาให้ และทุกครั้ง ท่านก็มาย้ำความดีที่ท่านให้ไว้

ถามว่า ความดีที่พระโมคคัลลาน์ให้ มีอะไร เขาก็ตอบว่า หนึ่ง พรหมวิหาร ๔ ได้แก่ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทุตา มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นใครได้ดี พลอยยินดีด้วย แล้วก็ อุเบกขา วางเฉย ในเมื่อความไม่สบายใจเกิดขึ้น หลังจากนั้นท่านก็ให้ทรง กรรมบถ ๑๐ คือ ทางกาย ๑. ไม่ฆ่าสัตว์ ๒.ไม่ลักทรัพย์ ๓.ไม่ประพฤติผิดในกาม

ทางวาจา ๔ คือไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด และไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ทางด้านจิตใจ ๓ คือ ไม่โลภอยากได้ทรัพย์ของคนอื่น โดยไม่ชอบธรรม คือไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของใคร ไม่จองล้างจองผลาญใคร มีความเห็นตรงตามคติทั้งหมดที่สอนมาแล้ว ให้ปฏิบัติตรงตามนั้น ก็ถามว่า คนในโลกนี้ ปฏิบัติตามนี้หรือ

เขาบอกว่า คนทุกประเภทในประเทศนี้ รัฐบาลตั้งกฎนี้เป็นธรรมนูญการปกครอง การปกครองของประเทศนี้จะต้องมี พรหมวิหาร ๔ กับกรรมบถ ๑๐ เป็นพื้นฐาน จริง ๆ ทุกคนปฏิบัติตามนี้ เมื่อคุยกับเขาแล้ว ก็หันไปหาพระท่าน ท่านก็ยิ้ม แล้วท่านมองหน้า ก็มีความเข้าใจว่า เท่าที่เขาพูดนี้ เป็นความจริง ก็เลยถามเขาว่า

พระโมคคัลลาน์เคยแนะนำ พระที่มีความใหญ่กว่าท่านมีไหม เขาก็ตอบว่า มี มีองค์เดียว ถามว่า พระอะไร เขาตอบว่า พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าใหญ่ที่สุด จึงถามเขาว่า เขาเคยเห็นพระพุทธเจ้าไหม เขาก็ตอบว่า ถ้าตามปกติ ด้วยตาเนื้อนี่ ไม่เคยเห็น แต่ว่าทางตาใจนี่เคยเห็น เลยถามว่า ตาใจของท่านอยู่ที่ไหน เ

ขาบอกว่า อยู่ที่อารมณ์ ก็ถามเขาบอกว่า มีความเคารพพระพุทธเจ้า เขาก็ตอบว่า เคารพพระพุทธเจ้า เคารพพระธรรม เคารพพระอริยสงฆ์ พระอริยสงฆ์นี่มีพระโมคคัลลาน์เป็นประธาน แน่..เขายึดแน่นอน เพราะคนทุกคนที่นี่ต้องปฏิบัติตามนั้น ถ้าใครละเมิดกฎ ๔ ประการ คือ พรหมวิหาร ๔ หรือกฎ ๑๐ ประการคือ กรรมบถ ๑๐ คนนั้นมีโทษหนัก

ก็ถามว่า ในประเทศนี้มีการสั่งประหารชีวิตไหม เขาก็เลยตอบว่า ถ้ามีการสั่งประหารชีวิต ก็ผิดโทษปาณาติบาต ไม่มีการสั่งประหารชีวิต ก็เลยถามว่า ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไร เขาก็บอกว่า ก็ลงโทษไม่คบหาสมาคม ให้อยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งโดยเฉพาะ (กักบริเวณ) กักบริเวณอยู่ กว้าง ๆ หน่อย แต่ห้ามออกจากเขตนั้น เป็นการทรมานใจ

เมื่อคุยกันมาถึงตรงนี้ บรรดาท่านผู้ฟัง หรือท่านผู้อ่าน สำหรับคนพูดมาก มันก็พูดมากเรื่อยไป พูดกันไป มันก็จบ เขาคุยไป เขาก็มองมา เขาก็สงสัย เขาหันมาถามว่า ขอประทานโทษ เขาพูดภาษาเขา แต่เรานึกเอาเป็นภาษาของเรา และเวลาที่เราพูดภาษาของเรา ก็นึกให้เป็นภาษาของเขา อย่าลืมนะ ท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน

นี่เป็นเรื่องของนิทาน นิทานจะพูดอย่างไรก็ได้ เอาอย่างไรก็ได้ทุกอย่าง เพราะมันเป็นเรื่องไม่จริง เขาก็ถามว่า คณะท่านที่มาทั้งหมดนี่ประมาณ ๑๐ ท่าน ท่านอาจจะมายานพาหนะ เวลานี้ยานพาหนะของท่าน จอดที่ไหน ก็ถามเขาบอกว่า ทำไมท่านจึงสงสัยแบบนี้ เขาก็บอกว่า ยานพาหนะต่าง ๆ อยู่ในสายตาของผม

ผมเป็นเจ้าหน้าที่ดูยานพาหนะที่จะไป หรือจะมา ถ้าเครื่องบินมาถึงแล้ว จะเลี้ยวทางไหน จะจอดที่ไหน จะมีอะไรที่ไหน มันเป็นการแนะนำ จากผมทั้งหมด ต้องผ่านผม แต่ว่ายานพาหนะที่ท่านมานี่ รู้สึกว่า ไม่กระทบเครื่องสัญญาณของผม เมื่อสักครู่นี้ ผมเห็นบรรดาท่านทั้งหลาย ลอยในอากาศ ผมก็มีความรู้สึกว่า ท่านจะมีเครื่องทำกายให้เบา ช่วยพยุงกายลงมา

ถ้ามันเป็นระบบวิทยาศาสตร์ มันต้องเข้าคลื่นของผม แต่ว่าของท่านไม่ผ่านคลื่นผมเลย ผมก็สงสัย ท่านมีเครื่องผลักคลื่นหรืออย่างไร เอาอีกแล้ว ก็เลยตอบเขาบอกว่า คณะของข้าพเจ้าทั้งหมดที่มานี่ ไม่ได้มาด้วยยานพาหนะ ไม่มีเครื่องบิน ไม่มีเครื่องพยุงตัวให้ลอย แล้วก็ไม่มีการขับเคลื่อน ลอยมาเองเฉย ๆ เขาถามว่า ลอยมาอย่างไร ฝึกการลอยได้อย่างไร

ก็ตอบว่า นี่เป็นเรื่องของทางใจ ถ้าคณะท่านทั้งหลายมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความสนใจในพระธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมีความเลื่อมใส เคารพในพระสงฆ์ สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง เวลาที่พระโมคคัลลาน์ท่านมา พระโมคคัลลาน์ท่านก็ไม่มีเครื่องพาหนะมาเหมือนกัน

เขาก็ยอมรับว่า ใช่ ก็ถามท่านศึกษาจากท่าน ท่านจะสอนให้ เขาก็หันมาถามว่า ถ้าอย่างนั้น คณะของท่านจะสอนข้าพเจ้าได้ไหม จึงได้หันไปหาพระท่าน พระท่านก็มองดูหน้า ก็แสดง
ว่า ไม่ใช่โอกาสที่จะสอนกัน ก็เลยบอกเขาว่า เวลาที่สอนมันไม่มี เวลานี้ยังไม่ต้องการเป็นครูของใคร เพราะยังไม่มีความเข้าใจในศรัทธาและปสาทะของทุกคน ตอนนี้ขอชมสถานที่ก่อน

เขาก็ถามบอกว่า จะชมที่ไหน ก็เลยบอกเขาว่า อันดับแรก ขอชมในครัว เขาก็ยิ้ม และทุกคนที่ไปด้วยกันก็ยิ้ม เขาก็หันมาถามว่า ท่านหิวหรือ ก็ตอบเขาบอกว่า ไม่ได้หิว แต่อยากจะดูอาหาร เขาถามว่า ทำไมจะดูอาหาร ก็ตอบเขาว่า ในฐานะที่พวกท่านมี พรหมวิหาร ๔ และมี กรรมบถ ๑๐ ก็อยากจะดูอาหารของท่านว่า มีเนื้อสัตว์ไหม

เขาก็บอกว่า แปลกใจหรือ คิดว่าพวกเขาจะกินหญ้าเหมือนวัว เหมือนควายใช่ไหม ผู้พูดก็ยิ้ม แล้วบอกว่า คิดว่าอาจจะกินผัก ไม่ใช่หญ้า หญ้า กับผัก มีสภาพไม่เหมือนกัน เพราะหญ้าเป็นอาหารของคนไม่ได้ มันต้องเป็นอาหารของวัว ของควาย ของม้า ของช้าง แต่ผักเป็นอาหารของสัตว์ก็ได้ เป็นอาหารของคนก็ได้

คนกินผัก แต่ไม่กินหญ้า วัวควายกินหญ้าด้วย กินผักด้วย อยากจะทราบว่า คณะของท่านกินเนื้อสัตว์ไหม เขาก็ตอบว่า ปกติก็กินกัน ก็ถามว่า ปกติท่านจะเอาเนื้อสัตว์ที่ไหนมากิน เขาบอกว่า สัตว์ที่หมดอายุขัยมันมีอยู่ และเวลาที่พบสัตว์ตาย เนื้อยังสด ก็เอามากินกันได้ ไม่แปลก ไม่มีอะไรแปลก แต่ทว่าถ้าไม่มีเนื้อสัตว์ พวกข้าพเจ้าก็ชอบกินผัก

แต่การปรุงอาหารด้วยผัก จะเอารสอะไรก็ได้ ให้เหมือนกับรสสัตว์ประเภทไหนก็ได้ ก็เลยบอกเขาว่า ขอชมสักหน่อยได้ไหม อาหารมีไหม เขาก็บอกว่า มี เขาก็ให้สัญญาณกดออด ออดของเขากดเป็น ๓ ระยะ อ๊อด..อ๊อด..อ๊อด..แล้วแถมท้ายอีกหนึ่งอ๊อด สั้น ๆ ถามเขาบอกว่า การกดออดแบบนี้ เป็นสัญญาณอะไร เขาบอกว่า เป็นสัญญาณนำอาหารมา คือ จะนำอาหารมาเลี้ยงแขก

ถามเขาบอกว่า อาหาร มีพร้อมอยู่แล้วหรือ เขาบอกว่า ที่นี่ ต้องพร้อมทุกเวลา เพราะเป็นสถานที่รับรองแขกผู้มาจากประเทศอื่นด้วย พอเขาพูดก็ตกใจว่า เรานึกจะปลอมตัว ก็แบกความโง่เข้าไปทุกอย่าง อันดับแรก แบกความแพรวพราวเข้าไป ซึ่งไม่มีใครเขาแต่งตัวกัน อันดับที่สอง พอเขารู้ตัว แบกเอาความสีเหลืองรุ่มร่าม ห่มจีวรเข้าไปอีก นุ่งสบง ทรงจีวร เขาก็จับได้

มาระยะที่สาม แม้จะทรงกายแบบนี้ แต่ลักษณะท่าทาง ลีลาวาจา มันไม่เหมือนของเขา เขาก็จับได้อีก ในเมื่อเขาจับได้ ก็ยอมให้เขาจับ มันเรื่องไม่แปลก ปฏิเสธไม่ไหว พอเขานำอาหารมาให้ดู ดูแล้วอาหารทั้งหมดมีอยู่ ๗ อย่าง เขาชี้ว่า อาหารถ้วยนี้เป็นอาหารที่มีการปรุงคล้ายกับเนื้อสัตว์ มีรสชาติอันนี้คล้ายเนื้อหมู อันนี้คล้ายเนื้อเก้ง อันนี้คล้ายเนื้อวัว ก็ลอง สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น

สิบตาเห็นไม่เท่าลองกิน ก็ลองกินเข้าไป มันคล้ายคลึงจริง ๆ เขาบอกว่า ประเภทนี้มีรสชาติเป็นผัก ผักโดยตรง แต่ว่าเขาไม่บอกว่า มังสวิรัต เพราะคณะของเขาไม่ได้ถือมังสวิรัต ถือแค่มีเป็นสำคัญ ถ้าได้เนื้อสัตว์มาโดยไม่บาป เขากิน ก็ถามเขาว่า ตามปกติ เขาอยากกินเนื้อสัตว์ไหม ถ้าบังเอิญมันไม่มี เขาบอกว่า ไม่อยากกิน เพราะอาหารทุกอย่าง มันเหมือนกันหมด

จะปรุงให้คล้ายเนื้ออะไรก็ได้ ลักษณะสีสันวรรณะจะให้เหมือนเนื้อ ทุกอย่างได้หมด ความนิ่มนวลเหมือนกัน ดูแล้วก็เหมือนเนื้อ เขาก็ให้สัญญาณกันลูกน้องเขาว่า ยกอาหารมาอีกจานหนึ่ง จานนี้มันเหมือนเนื้อหมูซีกหนึ่ง เหมือนเนื้อวัวอีกซีกหนึ่ง เหมือนจริง ๆ เห็นเข้าแล้วก็คิดว่า เนื้อหมู หรือเนื้อวัว พอชี้ไปถาม เขาบอกว่า นี่ผักล้วน ๆ

เขาก็ให้เจ้าหน้าที่ของเขามาทำการปรุงให้ดู เอาผักธรรมดา ๆ มีเครื่องอะไรต่ออะไร ก็ไม่ทราบ ใส่กร๊อกแกร๊ก ๆ มันโผล่ออกมาเป็นเนื้อ เหมือนเนื้อเสร็จ มีความนิ่มนวลเหมือนกัน มีสีสันวรรณะเหมือนกัน มีกลิ่นเหมือนกัน มีรสเหมือนกัน เอาละบรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย และท่านผู้อ่าน เวลานี้ ถ้ามองสัญญาณไม่ผิด ก็หมดเวลาเสียแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านและผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


4

ดาวหลุมดำ ตอนที่ ๖



ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ต่อไปนี้ก็อ่าน หรือฟังเรื่องราวของ โลกดำ หรือ ดาวหลุมดำ ต่อไป แต่ทุกท่านจงอย่าลืมว่า ดาวหลุมดำเป็นนิทาน แต่ว่าถ้าบังเอิญมันจะเหมือนกับนักวิทยาศาสตร์เขาเห็นกัน แต่ว่านักวิทยาศาสตร์เขาเห็นของจริง แต่เวลานี้ท่านกำลังอ่าน หรือกำลังฟังเรื่องนิทาน นิทาน กับของจริงจะต่างกัน

เมื่อชมอาหาร และลองชิมรสอาหารเขาแล้ว ก็รู้สึกว่า รสอาหารของเขา น่าจะติดใจ ก็มาคิดในใจว่า ถ้าคนโลกของเรา ในโลกชมพู ถ้าหากว่า สามารถปรุงอาหารจากผักได้ มีรสชาติเหมือนเนื้อสัตว์ คนที่ชอบเนื้อสัตว์ ก็ให้กินเหมือนเนื้อสัตว์ คนที่ไม่ชอบเนื้อสัตว์ ก็กินเหมือนผัก อันนี้จะมีประโยชน์มาก และก็จะไม่ต้องทำบาปอกุศล

และอีกประการหนึ่ง ถ้าทุกคนอยู่ในเขตของ พรหมวิหาร ๔ ถ้า ทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ และประการที่สอง ทรง กรรมบถ ๑๐ ได้ โลกก็จะเต็มไปด้วยความสุข ก็ถามเขาต่อไปว่า หลังจากท่านรับคำแนะนำจากพระโมคคัลลาน์แล้ว หลังจากนั้น คิดว่า พระโมคคัลลาน์คงจะสอนคนไม่ทุกคน แล้วมีคนสอนสืบต่อไหม

ท่านบอกว่า มีสำนักเรียนเต็มประเทศ และหลาย ๆ ประเทศ ก็มีสำนักเรียนเหมือนกัน สอนวิชาที่พระโมคคัลลาน์สอน และให้ปฏิบัติตาม ฉะนั้นโลกนี้จึงมีความสุข ก็ถามเขาว่า โลกนี้มีคนจนไหม เขาบอกว่า โลกนี้ และอีกหลาย ๆ โลก ๓-๔ โลก ที่เป็นเพื่อนกัน ไม่มีใครจน ถามเขาว่า ทำไมจึงไม่จน เขาบอกว่า คนจนไม่มี เพราะที่นี่มีแต่คนรวย ทุกคนมีพอกิน พอใช้

ไม่มีการลำบากยากแค้น ไม่มีการเบียดเบียนกัน ค่าใช้จ่ายก็ต่ำ อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ไม่ต้องสร้าง ก็ถามว่า เรื่องของคน ไม่ต้องมีอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ได้ แต่เรื่องของประเทศชาติ ถ้าไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ละก็ บางทีชาติอื่นจะรุกราน เขาก็ถามว่า ที่ไหนมีการรุกรานกัน อันนี้แปลกอีกแล้ว

บอกว่า ที่นี่ไม่มีการรุกรานกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พื้นที่นี่ตัดตรงหมด ที่ของใครเดิมเดิม จะมีการลดคดเคี้ยวบ้าง อาณาเขตชายแดน แต่ว่าทั้งสองฝ่ายตัดสินใจว่า ทำให้ตรงดีกว่า เมื่อทำให้ตรง ก็ทำถนนทั้งสองข้าง ประเทศโน้นทำถนนข้างโน้น ประเทศนี้ทำถนนข้างนี้ ส่วนจุดกลาง ทำเป็นทางรถไฟ ๒ รางคู่ จึงบอกเขาว่า ถ้าอย่างนั้น พาไปดูได้ไหม

เขาก็บอกว่า ได้ เขาถามว่า ท่านจะไปยานพาหนะไหม ก็บอกว่า ไปสิ ท่านมี เราก็ไป ถ้ามีฟรี ไปทุกอย่าง เขาบอกว่า ในฐานะที่ท่านเป็นแขกบ้านแขกเมือง นี่โตไม่ใช่เล่นนะ เขาถือว่าเป็นแขกบ้าน แขกเมือง ก็ต้องมียานพาหนะพิเศษ เขาก็นำไปข้างนอก บอกว่า คณะของท่านมาทั้งหมด ๑๔ ท่าน แต่ความจริง คนพูดยังไม่ได้นับ ลืม หันไปลองนับดู

นอกจากตัวคนพูดเอง ๑๓ ท่าน แล้วก็ตัวเองเป็น ๑๔ ท่าน เขาเก่ง เขาเรียบร้อยจริง ๆ เขาถามว่า ท่านต้องการไปรถ หรือต้องการเครื่องร่อน คำว่า เครื่องร่อน ก็หมายความว่า มันเป็นตัวกลม ๆ ที่เรานิยมเรียกว่า จานบิน หรือว่าจะไปเครื่องบิน เครื่องบินนี่มันยาว ๆ คล้าย ๆ เครื่องบินของเรา แต่ลักษณะหัวของเครื่องบินจะมีสภาพสูงกว่าเครื่องบินของเรา

ของเราหัวลู่ลง ของเขาหัวตั้งและมีด้านมุมหัวแหลม ๆ คล้าย ๆ กับเรือเมล์ แต่ก็ไม่เหมือนนัก ก็รวมความว่า ก็บอกเขาว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านเห็นว่าอย่างไหนดี เอาอย่างนั้นก็แล้วกัน เขาก็บอกว่า ไปเครื่องร่อนดีกว่า ข้างล่างเป็นกระจก มองเห็นทุกอย่าง นั่นแน่ ของเขาดีด้วย ทุกคนก็นั่งเครื่องร่อนเขาไป เขาร่อนไปนิดเดียว ไปชั่วขณะเดียว มองดูข้างล่าง

มันก็เต็มไปด้วยความสวยสดงดงาม พอถึงเส้นระหว่างประเทศ เขาก็ลง เขาบอกว่า ถนนฝั่งนี้ ถนนรถยนต์ มีเลนที่วิ่ง ๘ เลน ถนนฝั่งโน้น ถนนรถยนต์ มีเลนที่วิ่ง ๘ เลนเหมือนกัน เป็นถนนคอนกรีต นี่ไม่ใช่เมืองทิพย์นะ มันเป็นเมืองมนุษย์ จะว่าคอนกรีตก็ไม่เชิง มันมีสภาพเหมือนหิน เรียกว่า คอนกรีต ก็แล้วกัน ของเราแข็งที่สุดคือ คอนกรีต และก็ส่วนตรงกลาง เป็นทางรถไฟ

เขาบอกว่า รถไฟนี่ใช้รถไฟร่วมกันได้ทั้งสองประเทศ รถไฟขบวนเดียว ใครจะลงประเทศโน้นก็ได้ ประเทศนี้ก็ได้ มีสถานีตรงกันหมด ไปถึงสถานีปั๊บ ก็ลงได้ทั้ง ๒ ข้าง ใครจะลงประเทศไหนก็ตาม ก็ถามว่า ผืนแผ่นดินที่จับจองกันในตอนก่อน มันมีการเลี้ยวลดคดเคี้ยว แต่เวลานี้ทั้งสองฝ่าย ต่างคนต่างตัดให้ตรง อาศัยอะไรเป็นเหตุ

เพราะบางประเทศต้องเสียเนื้อที่ไป อาจจะขาดทุน เขาก็ยิ้ม เขาบอกว่า คำว่า ขาดทุน ในเมืองนี้ไม่มี เมืองนี้มีความต้องการอย่างเดียวคือ ความมีไมตรีซึ่งกันและกัน มีความรัก อะไรก็ตามจะเป็นจุดของความรักก็ได้ ถ้าเหตุของความรัก หรือการปฏิบัติกฎต่าง ๆ ไม่เกินกรรมบถ ๑๐ หรือว่าไม่เกินพรหมวิหาร ๔ ไม่นอกเหนือไปจากนั้น ไม่เป็นทางรก

คือ สร้างความเดือดร้อน ประเทศนี้เอา และประเทศทั้งหมดนี้ เอาทั้งหมด ฉะนั้นประเทศทุกประเทศจึงไม่มีอาวุธรบ ในเมื่อไม่มีทหาร ไม่มีตำรวจ ก็ไม่ต้องจ่ายเงินเดือน ไม่ต้องจ่ายเครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งมันมีราคาแพงมาก แล้วก็ไม่ต้องจ้างตุลาการ ตุลาการคนตัดสินก็ไม่มี มีเจ้าหน้าที่คล้าย ๆ กำนัน คือ ในเขตหนึ่ง ๆ ก็มีผู้ใหญ่บ้าน มีกำนันเหมือนกัน

ก็มีแค่นี้ ต่อจากนั้น ก็มีเมืองลูกหลวง เป็นเมือง ในเมืองแต่ละเมืองก็มีเจ้าเมือง ก็มีเจ้าหน้าที่ไม่กี่คนนัก งานที่เขาจะทำกันส่วนใหญ่เป็นคนรับภาษี ก็เลยถามเขาว่า เมืองนี้มีความรุ่งเรืองเจริญมาก รัฐบาลมีรายได้จากภาษีเยอะหรืออย่างไร เขาบอกว่า มากอยู่ ถามว่า รัฐบาลเก็บภาษีแพงไหม เขาบอกว่า ถ้าจะใช้ศัพท์ว่า แพง มันก็ไม่ใช่ของค้าขายกัน

แต่ถ้าจะถือว่า น้อย หรือมาก ต้องถือว่ารัฐบาลเขาเก็บมาก แต่คนที่เสียภาษีไม่เดือดร้อน ถามเขาบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ภาษีที่เก็บสูงสุดในของที่จำหน่ายจ่ายแจก ต้องเสียให้รัฐบาล ต้องเสียร้อยละเท่าไร เขาบอกว่า อย่างคนต่อรถยนต์ขาย ต่อเครื่องบินขาย ต่อเรือเมล์ขาย เป็นต้น ของหนัก ๆ ประเภทนี้ ต้องเสียภาษีร้อยละสาม

ฟังแล้วก็ งง ทำไมจึงว่า งง เพราะร้อยละสาม มันนิดเดียว ของต่ำไปจากนั้น อย่างเครื่องอุปโภคบริโภค อย่างของกินทั้งหมด ไม่ต้องเสียภาษี เสื้อผ้าที่ขาย ส่งไปให้ซึ่งกันและกัน ของใช้ตามธรรมดา ไม่ต้องเสียภาษี ภาษีนอกจากนี้ก็อาศัยภาษีโรงเรือน หมายถึงช่างที่รับเหมาทำโรง ทำเรือน อย่างนี้รัฐบาลเก็บร้อยละหนึ่ง

ก็ถามเขาว่า เมื่อรัฐบาลเก็บน้อย ๆ อย่างนี้ จะมีเงินไปจ้างข้าราชการหรือ เขาก็ตอบว่า ข้าราชการที่นี่ไม่ต้องจ้าง ทุกคนมีกินมีใช้ แต่ปีหนึ่งรัฐบาลจะมีรางวัลให้ จากผลประโยชน์ที่รัฐบาล จะพึงได้จากภาษีอากรร้อยละสิบ แล้วก็เฉลี่ยกันไป ระดับของพ่อเมืองได้ ๓ เปอร์เซ็นต์ ระดับของลูกเมืองก็ว่ากันเป็นเปอร์เซ็นต์ ๆ ไป แบ่งเปอร์เซ็นต์จากร้อยละสิบออกมา

แล้วก็เฉลี่ยเป็นรางวัลต่อปี ก็คิดในใจว่า เมืองนี้มีความสุขจริง ๆ ภาษีก็ไม่มีเดือดร้อน แล้วบ้านเมืองก็มีแต่ความสงบ ก็ถามเขาว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้าเกิดเรื่องร้ายขึ้นมา เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มี ตุลาการไม่มี แล้วจะมีใครไปจับ เขาบอกว่า ไม่มีใครต้องจับใคร ทุกคนรู้ตัว ถ้าทำความผิด ก็มาสารภาพผิดกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่ตนขึ้นการปกครองกับเขา เท่านั้นก็เลิกกัน

กำนัน ผู้ใหญ่บ้านสั่งการออกมาอย่างไร ปฏิบัติตามนั้น เป็นผู้พิพากษาไปในตัวเสร็จ นี่เป็นเรื่องนิทานนะ อย่าลืมว่า ประเทศไหน ๆ ที่จะมีความสุขอย่างนี้ มันไม่มีหรอก ก็รวมความว่า เป็นประเทศที่มีความสุขมาก ภาษีอากรก็เสียน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่วนใหญ่จริง ๆ ไม่มีใครต้องเสียภาษี ก็ถามเขาว่า ถนนหนทางก็ดี ตึกรามก็ดี โอ่โถง ใหญ่โตมาก

ในเมื่อรัฐบาลมีรายได้น้อย แล้วจะสร้างได้อย่างไร เขาก็บอกว่า ไม่ใช่ของแปลก เขตไหนก็ตาม คนจะร่วมมือกัน ถ้าในตำบลนี้ต้องการถนน เขาก็ร่วมทุนกันสร้างถนน ที่นี้ต้องการจะสร้างตึกที่ทำการ ต้องการสร้างอะไรที่เป็นส่วนกลาง ก็รวมทุนเข้ามา นอกจากนั้นก็เป็นเงินส่วนตัว ถามถึงราคาของ ตกใจ สิ่งที่จะเปรียบเทียบกับท่านผู้ฟังได้ก็คือ

ก๋วยเตี๋ยว อาหาร หรือก๋วยเตี๋ยว เอาธรรมดา ๆ ข้างถนนกันของเรา ก๋วยเตี๋ยวอย่างดี ราคา ๑๐ บาท อย่างต่ำลงมาก็ ๕ บาท ต่ำมากกว่านั้นอีกนิดก็ประมาณ ๔ บาท แต่ว่าก๋วยเตี๋ยวของเขาชามหนึ่งราคาประมาร ๑๐ สตางค์ของเรา เปรียบเทียบกับเงินเรา ก็เป็นการน่าอัศจรรย์มาก และรู้สึกว่าทุกอย่างมันถูกหมด ไปดูของซื้อของขาย ราคาเขาก็ถูก

ก็รวมความว่า เป็นเมืองที่ทรงกรรมบถ ๑๐ และพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน จะเจอหน้าใครก็ตาม มีแต่อาการยิ้มแย้มแจ่มใส ก็บอกเขา บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ลอยไปดูรอบ ๆ ลอยมาดูที่เมืองท่าก่อน มีอะไรบ้าง ตรงนี้เป็นเมืองท่าของประเทศไหน ๆ เขาก็บอกหมด ก็ถามบอกว่า เมืองท่าของแต่ละประเทศ เวลาส่งของออกต่างประเทศ จะต้องเสียภาษีไหม

เขาบอกว่า เรื่องภาษีออก กับภาษีเข้านี่ไม่มี ขนของออกไปเท่าไร ไม่ต้องเสียภาษี เสียตามที่จำเป็นต้องเสีย ตามกฎธรรมดา แต่การเสียภาษีเพื่อเป็นการส่งออกไม่มี ก็ถามว่า แล้วภาษีเข้าล่ะ เขาก็บอก ไม่มีเหมือนกัน ฉะนั้นของในประเทศนี้ จึงมีราคาถูก ถามถึงค่าจ้างแรงงาน เขาบอกว่า ค่าจ้างแรงงานก็มีเป็นของธรรมดา มีเป็นเปอร์เซ็นต์

การขนของทุกอย่างราคาเท่าไร ว่ากันมา เขาดูราคาแล้วคิดเปอร์เซ็นต์ ราคาค่าขนตั้งแต่เริ่มเข้าลาน จากลานบรรจุกล่อง จากกล่องก็บรรจุเรือ นำลงเรือทั้งหมด อย่างนี้ เก็บร้อยละหนึ่ง ก็ถามเขาว่า พอไหม เขาบอกว่า ไม่เห็นใครเขาบ่นนี่ เขายิ้มแย้มแจ่มใสกัน ก็รวมความว่า ประเทศนี้มีความสุขทุกอย่าง

เพราะอาศัยพระโมคคัลลาน์เป็นผู้นำ หลังจากนั้น ก็ถามเขาว่า ถ้าจะต้องการไปเมืองหลวง จะพาไปได้ไหม เขาบอกว่า เมืองหลวงอยู่ใกล้ ๆ การเคลื่อนไปจากที่นี่ด้วยยานพาหนะประเภทนี้ ไปเพียงแค่ ๕ นาทีก็ถึง เขาก็ตอบว่า เวลาของท่านนะ ก็เลยตามใจ บอก ถ้าอย่างนั้นไป ไปเมืองหลวงกัน

พอไปถึงเมืองหลวง เมืองหลวงมีความสวยสดงดงามจริง ๆ มีตึกมีราม มีถนนหนทาง มีผู้คนแต่งตัวสวยสดงดงาม ผิวคนทุกคนจะเหมือนกันคือ เป็นคนเนื้อละเอียด ผิวเหลือง หน้าอิ่ม เนื้ออิ่มทั้งกาย เรียกว่า คนเนื้อเต็ม ทั้งหมด รูปร่างไม่เว้า ไม่แหว่ง ไม่นูน เหมือนอย่างพวกเรา คำว่า เว้าแหว่ง หมายความว่า ผอมเกินไป บางจุดก็ลีบ

บางจุดก็มีเนื้อ อย่างนี้ เว้า หรือแหว่ง และก็ไม่อ้วนเกินไป คนอ้วนเกินไปไม่มี ลักษณะสมส่วนทั้งหมด ถือว่าเป็นคนสวย ทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ชาย ยิ่งไปกว่านั้น ก็สวยมากยิ่งขึ้นไป คือ เห็นหน้ากันก็ยิ้ม เขาเจอะหน้าพวกเขากันเอง ก็ยิ้ม เขาเห็นพวกเรา ก็ยิ้ม ก็รู้สึกว่า ไปที่นี่มีแต่ความสดชื่น ก็ไม่ขอชมบ้านเมืองให้ฟัง รถราไม่ติดเหมือนกรุงเทพฯเรา

และเขาก็แพ้กรุงเทพฯเราอยู่อย่าง คือ รถไม่ติด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถนนนอกเมืองของเรา ยังมีรถมากกว่าของเขา แต่ที่เขานิยมใช้จริง ๆ คือ เครื่องร่อน เครื่องร่อน หรือจานบิน ที่เราเรียกว่า จานบินนั่นแหละ เป็นที่นิยมของเขา รถยนต์เขาไม่ค่อยนิยมกัน แต่รถยนต์เขาใช้ ถ้าไปสถานที่ใกล้ ๆ เขาใช้รถยนต์ ถ้าไปที่ไกล ๆ เขาก็ใช้เครื่องร่อน ถ้าถามว่า เครื่องร่อน หรือรถยนต์มีทุกบ้านไหม

ก็ตอบว่า เขานิยมไม่เหมือนกัน บางบ้านก็นิยมมีรถยนต์ บางบ้านก็นิยมมีเครื่องร่อน แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยนิยมมี เพราะใช้เครื่องร่อนของกลาง ราคาถูกกว่า คือ ค่าพาหนะก็ถูก มีความสะดวกสบาย รถยนต์ กับเครื่องร่อนในเมือง มีสถานที่จอดอยู่รวมกัน แบ่งซีกกัน ซีกนี้เป็นซีกของเครื่องร่อน ซีกนี้เป็นซีกของรถยนต์

เป็นรถยนต์รับจ้าง เครื่องร่อนรับจ้าง ให้ความสะดวกเสียค่าพาหนะไม่มาก จึงหันมาถามเขาว่า ที่นี่มีพระราชา หรือมีประธานาธิบดี เขาฟังแล้วก็เลย งง ทั้งสองอย่าง เขาบอกว่า ไม่รู้จักคำว่า พระราชา ไม่รู้จักคำว่า ประธานาธิบดี ก็ถามว่า ที่นี่ปกครองกันอย่างไร เขาบอกว่า มีพ่อเมือง ก็ถามว่า พ่อเมืองเป็นมาตามตระกูลรัชทายาทกัน

หรือสืบต่อกันมาจากตระกูลต่าง ๆ หรืออย่างไร หรือเลือกตั้ง เขาบอกว่า ไม่มีตระกูลเป็นรัชทายาท ไม่ใช่สืบต่อตามตระกูล แล้วก็ไม่มีเลือกตั้ง ไม่มีการเลือกตั้ง มีแต่การแต่งตั้ง ถามเขาว่า การแต่งตั้งเป็นอย่างไร เขาก็เลยบอกว่า จะต้องการคนที่มีคุณสมบัติสูงจริง ๆ สมกับตำแหน่งพ่อเมือง คือ เป็นพ่อของคนทั้งประเทศ เอามาเป็นพ่อเมือง

ก็ถามเขาว่า ลักษณะเลือกคนมาเป็นพ่อเมือง เขาทำอย่างไร เขาบอกว่า ทุกจุดจะต้องสังเกตคนไว้ สังเกตลักษณะของคน คนเกิดลักษณะนี้ เขามีตำราดู นี่โบราณแท้ ๆ เลยนะนี่ มีตำราดู คล้าย ๆ ลักษณะของ ธิเบต ปัจจุบัน ก็หมายความว่า อดีต ใกล้ปัจจุบัน ปัจจุบันเวลานี้ธิเบตก็คงไม่ได้ใช้ หรือใช้ก็ไม่ทราบ

เขาจะดูกันมาตั้งแต่เด็ก ดูลักษณะท่าทาง และดูความประพฤติ ดูความทรงธรรม และแต่ละหน่วยก็ตั้ง ต่างคนต่างมีไว้ เลือกคนไว้ แต่ละจุด ในที่สุด เมื่อพ่อเมืองของบ้านเมืองนี้ต้องตายไป จากไป เขาก็นำคนทั้งหลายนั้นมาแข่งขันกันอีก คำว่า แข่งขัน ก็คือ รายงานลักษณะอาการ จริยา ความทรงธรรมของบุคคลคนนั้น

แล้วมาไล่เบี้ยดูลักษณะให้ครบถ้วน ดูความประพฤติปฏิบัติให้ครบถ้วน ตามที่เขาต้องการ เขาก็เชิญท่านผู้นั้นขึ้นครองเมือง เรียกว่า พ่อเมือง คนทุกคนมีความเคารพ ก็ถามเขาว่า ถ้าใช้เวลา สมมุติว่าเวลาผ่านมา ๒,๐๐๐ ปีเศษ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าของเราอุบัติขึ้นมา จนบัดนี้ ๒,๐๐๐ ปีเศษ อยากจะทราบว่า เขามีพ่อเมืองกี่คน

เขาก็ยิ้ม เขาก็บอกว่า ตั้งแต่เขาเกิดมา เพิ่งมีพ่อเมืองคนเดียว ๒,๐๐๐ ปีเศษนี่ มีพ่อเมืองคนเดียว แต่เขาบอกว่า เขามีอายุ ๘,๐๐๐ ปีเศษ เขาเพิ่งพบพ่อเมืองคนเดียว ก็ถามเขาว่า ทำไมคนอายุยืนนัก เขาก็ตอบว่า ที่นี่ต้องมีอายุ ๑๒,๐๐๐ ปี ของจักรวาลโลกชมพู จึงจะตายกัน ทุกคนต้องอยู่เต็มอายุขัย ทั้งนี้เพราะอาศัยพรหมวิหาร ๔ กับกรรมบถ ๑๐ คุ้มครอง

แหม..เขาช่างมีความสุขจริง ๆ เหลือเวลานิดหน่อย ขอให้เขาพาไปสนามบิน เขาบอกว่า สนามบินระหว่างในประเทศ หรือต่างประเทศ หรือต่างโลก แหม..ในประเทศเราก็เคยเห็น ต่างประเทศเราก็เคยเห็น แต่ต่างโลกนี่ไม่เคยเห็น ก็ถามว่า คนต่างโลกมาที่นี่ กี่โลก เขาบอกว่า ที่มาประจำจริง ๆ คือ ๓ โลก โลกทางทิศเบื้องซ้าย ถ้าหันหน้าไปทิศใต้

อยู่ด้านซ้ายมือถึง ๒ โลก และโลกอยู่ด้านหลัง คือ ทิศเหนืออีก ๑ โลก ก็ถามว่า ทั้ง ๓ โลกนี้ลงสนามบินเดียวกันหรือ เขาก็ตอบว่า ลงคนละสนาม ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นขอไปชม แล้วในระหว่างทางก็ถามเขาว่า แต่ละสนามมีลักษณะท่าทางแตกต่างกันไหม เขาบอกว่า ไม่แตกต่างกัน เหมือนกันทั้งหมด ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ขอชมสนามเดียว เขาก็พาไปชม

ในที่นั้นก็มีเครื่องบินในประเทศอยู่ด้วย ก็เพราะว่า มีทั้งเครื่องบิน มีทั้งเครื่องร่อน เครื่องร่อน คือ จานหมุน ๆ นั่นแหละ มีทั้งเครื่องบิน มีทั้งจานบินก็ได้ เอาอย่างนี้ดีกว่า ฟังง่ายดี ลักษณะมันเหมือนจาน เพื่อรอรับชาวต่างโลกที่มาลง แล้วเขาต้องการไปที่ไหน ก็พาไปที่นั่น ในขณะที่ไป ก็พบเครื่องร่อนมาจากต่างโลก แต่ว่าเครื่องร่อนหรือเครื่องบิน ลักษณะมันก็ไม่เหมือนกัน

บางลักษณะมาจากโลกเดียวกัน คือ รูปร่างคล้าย ๆ เรือเมล์ แต่มีมีปีกก็มี รูปร่างลักษณะคล้าย ๆ เครื่องบินของเราก็มี รูปร่างคล้าย ๆ กับจานบินก็มี และต่างคนต่างมี พอเครื่องร่อนนั่นลงปั๊บ รู้สึกว่าเรียบร้อยดีมาก เขาเปิดเครื่องขึ้นมา คนก็ลงมา การแต่งกายมีลักษณะคล้ายคลึงกัน จึงเข้าไปถามคนที่มาจากต่างโลก ถามว่า ท่านมาจากโลกไหน

เขาก็ตอบให้ทราบว่า มาจากโลกนั้น ๆ ตอนนี้ท่านผู้ฟัง หรือท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่า รู้ภาษาเขาได้อย่างไร ก็ขอตอบว่า รู้ภาษาจากอารมณ์ คือ คิดว่าภาษาของเขาเป็นอย่างไร ให้เราฟังเข้าใจรู้เรื่องเหมือนภาษาของเรา แล้วภาษาที่เราพูดไป มันอาจจะไม่เหมือนภาษาของเขา แต่ตั้งใจคิดว่า ให้เขาฟังเข้าใจเหมือนภาษาของเขา ให้เขามีความรู้สึกว่า เราพูดภาษาของเขา

เขาก็ตอบภาษาของเขามา เราก็ตอบภาษาของเราไป มันก็ลงตัวกันได้ ในเมื่อทุกอย่างลงตัวกันได้ ก็ถามความเป็นมาของเขา เขาก็เล่าความเป็นมา ถามว่า การที่เขาเคลื่อนมาจากโลกของเขา ต้องใช้ระยะการบิน กี่ชั่วโมง เขาถามว่า เป็นเวลาของโลกชมพูใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่ ที่ถามนั่นก็เป็นพวกที่มาจากโลกทิศตะวันออก เป็นโลกใหญ่ ใกล้ ๆ หน่อย ไม่ไกลนัก

แต่ก็ไกลกว่าจากโลกของเรา ไปดวงจันทร์ เขาก็บอกว่า การใช้เวลาเดินทางมาที่นี่ ถ้าใช้เวลาของโลกชมพู ก็ใช้เวลาประมาณ ๑๐ ชั่วโมง ก็ถามเขาว่า โลกของท่านจริง ๆ อยากจะทราบว่า มันมีมืด มีสว่าง เหมือนกับโลกชมพูไหม เขาก็ตอบว่า โลกของเขาไม่มีมืด มีแต่สว่าง ถามเขาว่า เวลาการนอน การพักผ่อน จะมีไหม

เขาบอกว่า มี แต่การพักผ่อนไม่เสมอกัน คนนี้นอนเวลานี้ ตื่นเวลานั้น คนนั้นนอนเวลานี้ ตื่นเวลานั้น ก็เรียกว่า ทั้งเมือง ทั้งบ้านจะมีคนตื่น และคนหลับอยู่ตลอดเวลา การงานที่เขาทำทั้งหมด จะไม่มีอะไรคั่งค้าง ฟังแล้วก็น่าปลื้มใจ นอนต่างเวลากัน ทำการงานต่างเวลากัน ของเขามีสว่างตลอด ก็ถามถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ เขาบอกว่า

เขามีครบครัน อันนี้ไม่ต้องอธิบาย ก็รวมความว่า ที่นี่มีความสะดวก ไปต่างโลกก็ได้ คนละโลกก็พูดรู้เรื่องกัน หันไปดูเจ้าหน้าที่เขาทักทายปราศรัยกัน แบบกันเองทุกอย่าง พูดก็เหมือนกัน คล้าย ๆ กับว่า เขาจะมีภาษากลางของเขา แต่ถ้าเราฟังภาษากลางของเขาแล้ว มันเหมือนคล้าย ๆ ภาษาญี่ปุ่น สั้น ๆ อีโละโก๊ะเก๊ะ เสียงหนัก ๆ เหมือนกัน แต่ว่าก็ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น

ในเมื่อชมจุดนี้แล้วก็ถามเจ้าหน้าที่ที่นำไป ถามว่า นอกจากพาหนะบนผิวดิน คือ รถยนต์ แล้วก็บนอากาศ คือ เครื่องบิน หรือเครื่องร่อน นอกจากนั้น พาหนะของท่าน มีที่ไหนบ้าง เขาบอกว่า นอกจากบนผิวดิน และนอกจากอากาศ ก็มีใต้ดิน ก็ถามว่า ในใต้ดิน มีหรือ เขาบอกว่า มี ถามว่า มีอะไร บอกว่า มีรถไฟ มีรถยนต์ มีเมืองใต้ดิน แต่ความจริงเรื่องนี้ไม่แปลก

เพราะโลกชมพูเรามีอยู่แล้ว ใต้ดินหลาย ๆ ประเทศ อย่าง ประเทศอเมริกาก็มี ประเทศญี่ปุ่นก็มี หลาย ๆ ประเทศเขาก็มีรถไฟใต้ดิน มีรถยนต์ใต้ดินกัน มีสถานอาคารใต้ดิน เขาก็มีอยู่แล้ว ก็ไม่ใช่ของแปลก โลกเราก็มี โลกเขาก็มี แต่ว่าอยากจะถามเขาว่า เมืองใต้ดิน มันเป็นเมืองใหญ่ไหม เขาก็บอกว่า ใหญ่พอดู ถามว่า เส้นทางของเมืองใต้ดิน ใช้ความกว้างประมาณเท่าไร

เอาเฉพาะเส้นทาง เขาบอกว่า เส้นทางเมืองใต้ดินมี คือ รถยนต์ใต้ดิน รถไฟใต้ดินก็ตาม เป็นเส้นทางเดิน ก็มีความกว้าง ถ้าจะเทียบกับของเราก็ประมาณ ๔ กิโลเมตร เป็นความกว้าง ถามเขาว่า ขุดหนาไหม เขาบอกว่า หนามาก ถามเขาว่า เวลาขุดทางมันผ่านภูเขา ผ่านหินไหม เขาบอกว่า ผ่าน ก็ถามว่า ทำได้อย่างไร

เขาบอกว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของคนสร้างเครื่องจักร บริษัทสร้างเครื่องจักรเขามีความรู้ มีความสามารถ เขาสามารถทำได้ เอาละท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟัง คุยกันไป คุยกันมา มองดูเวลาเหลือนาทีเศษ ๆ ก็ต้องขอลาก่อน เพราะจะหมดเวลา ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 11/1/12 at 15:33 [ QUOTE ]


5

ดาวหลุมดำ ตอนที่ ๗



ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และท่านผู้อ่านทั้งหลาย ต่อนี้ไปก็มาพบกัน เรื่องของ ดาวถุงดำ ขอท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลายโปรดทราบ และจงอย่าลืมว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องนิทาน เรื่องจริง ๆ ก็มีอยู่ว่า นักวิทยาศาสตร์ของฝรั่ง เขาส่องกล้องเห็นดาวถุงดำ ใช้ศัพท์ว่าอย่างนี้ ไอ้เจ้าดาวถุงดำนี้พฤติการณ์มีอยู่ว่า อะไรก็ตาม ถ้าเข้าไปใกล้มัน มันดูดเข้าไปหมด

แม้แต่แสงต่าง ๆ ก็ดูดเข้าไป จนกระทั่งมองไม่เห็น เรื่องจริง ๆ มีแค่นี้ ต่อมาก็นำเอาเรื่องดาวถุงดำ มาตั้งต้นเป็นนิทาน เรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาแล้วก็ตาม ที่จะว่ากันต่อไปก็ตาม เป็นนิทานทั้งหมด และเรื่องของนิทานอาจจะพาดพิงธรรมะบ้าง ก็เป็นของธรรมดา ก็รวมความว่า ต่อนี้ไป ก็มาฟังกัน หลังจากได้ติดตามท่านเจ้าของถิ่น ไปชมสถานเมืองต่าง ๆ และยานพาหนะต่าง ๆ

ตลอดจนกระทั่งยานไปโลกต่าง ๆ ด้วย ได้ชมยานพาหนะที่โลกต่าง ๆ มาสู่โลกนี้ ความจริงฟังแล้วก็ครึ้มดี แต่ถ้าเป็นจริงตามนั้นจะดีมาก หลังจากนั้นก็ลงมาที่เกาะ ขอโทษยังไม่ถึงเกาะ ที่ชายมหาสมุทร ที่เมืองท่า ก็ให้ท่านเจ้าของถิ่นพาชมเมืองท่าต่าง ๆ ก็รวมความว่า ความเป็นมาทุกสิ่งทุกอย่าง ของเรากับของเขา คล้ายคลึงกัน แต่ว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในโลกชมพูนี้เอง

คนพูดก็ไม่รู้ทั้งหมดว่า มีอะไรมาบ้าง แต่เรื่องราวของวิทยาศาสตร์ เราต้องยอมรับ เป็นอันว่า เขามีการคล่องตัวทุกอย่าง ทั้งค้า และทั้งขาย ซื้อมาและค้าขาย คล่องตัวทั้งหมด สิ่งที่อยากจะทราบก็คือว่า ทางใต้ดิน ที่เรียกกันว่า อุโมงค์ หรือเมืองใต้ดิน ที่เขาบอกว่า ของเขามี แต่ความจริง ที่โลกชมพูนี่ เราก็มี เท่าที่ทราบ อย่างอเมริกาเขาก็มี อย่างญี่ปุ่นก็มี และมีหลาย ๆ ประเทศ

มันก็เป็นของไม่แปลกสำหรับคนผู้ฟัง แต่สำหรับผู้พูดเอง ก็รู้สึกว่า แปลก เพราะไม่เคยไป เคยแต่ลงอุโมงค์ที่ฮ่องกง มันก็เป็นอุโมงค์ใต้น้ำเฉย ๆ ก็เลยตามเขาไปดู ก็ปรากฏว่า ทางใต้ดินของเขา มีความกว้างประมาณ ๔ กิโลเมตรจริง มันกว้างมาก ไม่ใช่ทางเฉพาะรถ รถก็มีสองทาง ทางไป และ ทางมา รถไม่สวนกัน เดินกันคนละทาง และก็เลนที่สำหรับใช้วิ่งรถ

ก็หลายเลนด้วยกัน รถมีมาก แต่ว่าใต้ดินนี้ ถามเขาว่า ยานเหาะมีไหม เขาบอกว่า สถานที่มันต่ำ ยานเหาะไม่มี แต่ว่ารถของเขาก็ดี มีทั้งรถไฟ มีทั้งรถราง มีทั้งรถยนต์ แต่ก็ขาดรถเจ๊ก กับรถม้า ของเขาไม่มี ของเราเคยมี ทั้งสองข้างทางไม่เปลี่ยว มีบ้านเรือนโรง มีตึก มีห้องแถว เป็นแถว ๆ ไป ก็มีคนมากบ้าง น้อยบ้าง ไม่มากนัก แต่พอนั่งรถไปประมาณสัก ๓๐ กิโลเมตร

ก็จะเจอะเมืองใหญ่ ๆ ในเมืองนี้ ท่านเจ้าของถิ่นบอกว่า จะมีพลเมืองในเมืองนี้ประมาณ ๒ แสนคน มันก็ไม่เล็ก คือว่าเขาขุดอุโมงค์ลึกออกไปข้าง ๆ ตั้งตึกแถว บ้านช่องเรือนโรง คนจริง ๆ ที่อยู่รู้สึกว่า ทุกคนมีความสดชื่น หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ถ้าจะถามว่ามีอะไรบ้าง ถ้าบอกไป เมืองเราก็มีหมดแล้ว เพียงแต่บอกว่า ที่นี่เขามีตุ๊กตา ตุ๊กตาบ้านเราก็มี มีผู้ชายกับผู้หญิง

ผู้ชายกับผู้หญิงบ้านเราก็มี แต่ก็ไม่ได้ถามเขาว่า เมืองนี้มีกระเทยหรือเปล่า และหลังจากนั้นก็จะถามเขาอีกว่า มีอะไรบ้าง ก็ไม่น่าแปลก ไม่น่าถาม แต่ว่าสิ่งที่ถามก็คือว่า เมืองนี้ขุดลงลึกใต้ดิน
ประมาณเท่าไร เจ้าหน้าที่ที่นำไปเขาบอกว่า เขาก็ไม่ได้ถามช่างเหมือนกัน แต่รู้สึกว่ามันลึกมาก ถามเขาว่า เวลานี้อยู่ใต้ระดับน้ำทะเลไหม

เขาบอกว่า ไม่ใช่ใต้ระดับน้ำทะเล ใต้ท้องทะเลลึก ลึกกว่าท้องทะเลลงไปอีก ทางเส้นนี้ทั้งหมด ลอดมหาสมุทร ลอดใต้เมืองพื้นแผ่นดินด้วย แล้วก็ลอดมหาสมุทรด้วย ไปตามเมืองเกาะกลางน้ำต่าง ๆ ซึ่งมีหลายเมือง ก็ถามเขาว่า เมืองทั้งหลายเหล่านั้น มันเป็นเมืองขึ้น หรือเปล่า เขาบอกว่า เปล่า ไม่ใช่ เป็นเอกราช เขาเป็นเมืองปกครองกันเอง

ก็เลยบอกเขา บอกว่า อยากจะไปในเมืองนั้น เขาบอก ไปได้ จะนำไป แล้วก็นั่งรถไป ชมทิวทัศน์ทั้งสองข้างอย่างสะดวกสบายมีความสุข พอไปถึงบริเวณอีกเมืองเมืองหนึ่ง ใต้บาดาล เมืองนี้ไม่โตนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ เขาบอกว่า มีพลเมืองประมาณ ๒ หมื่นคน เขาบอกว่า ที่เมืองเมืองนี้แหละ เป็นทาง มีทางขึ้นเมืองในเกาะในทะเล เมืองที่อยู่กลางมหาสมุทร

หรืออยู่กลางทะเล เหมือนกับประเทศญี่ปุ่น หรือฟิลิปปินส์ แบบนี้แหละ แต่ก็มีทางขึ้นบก ก็บอกเขา บอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็อยากจะขึ้นบก เขาก็นำวิ่งรถไปเรื่อย ๆ รู้สึกว่า ความเป็นเนินขึ้นทีละน้อย ๆ ขึ้นสะดวกมาก ลาดชันน้อย ๆ ถ้าไม่สังเกตจะไม่รู้สึก สักประเดี๋ยวหนึ่งก็ปรากฏว่าขึ้นเหนือพื้นแผ่นดิน ก็ปรากฏว่า ไอ้ที่ตรงนั้นเป็นเมืองเกาะ มีเกาะน้ำล้อมรอบ

แต่ไม่ใช่เกาะเล็ก ๆ ที่ทราบว่า เป็นเกาะน้ำล้อมรอบก็เพราะว่า ขึ้นชายเกาะ เห็นน้ำเป็นแนวไกล แต่ว่าถ้าจะมองตัดผ่าศูนย์กลางให้ดูด้านเกาะทางโน้นไม่เห็นกันแน่ มันไกลมาก ถามเขาว่า เกาะนี้มีเนื้อที่กี่ตารางกิโลเมตร เขาบอกว่ามีเนื้อที่ประมาณ ๒ แสนตารางกิโลเมตร ก็เป็นเมืองใหญ่มาก ก็เป็นประเทศประเทศหนึ่ง และก็ถามเขาบอกว่า

ถ้าหากว่าเมืองนี้อยู่กลางเกาะ ลมพายุหนัก ๆ จะมีไหม เขาก็บอกว่า เรื่องทะเลก็ดี มหาสมุทรก็ดี การที่มีลมพายุหนัก ๆ มันเป็นของธรรมดา ก็ถามเขาบอกว่า ถ้าหากว่า ลมพายุหนัก ๆ เข้ามา เมืองนี้ มันไม่กลายเป็นเมืองใต้น้ำหรือ เขาก็บอกว่า ประเทศนี้ เป็นประเทศที่เขาอยู่กลางทะเลมาเป็นประจำ เขามีการป้องกันกระแสน้ำ

ไม่ให้มีกำลังแรงนักเมื่อขึ้นไปบนเกาะของเขา แล้วผู้นำเขาก็พาไปชายทะเล ไปไกล ห่างกันประมาณ ๓ กิโลเมตร ก็เห็นกำแพงสูงตระหง่าน กำแพงมีความสูงมาก ก็ลืมไป ไม่ได้ถามเขาว่า กำแพงที่เห็น มันสูงกี่เมตรกันแน่ มันสูงกว่าศีรษะหลาย ๆ เท่า เป็นกำแพงกั้นรอบ ๆ เท่าที่ตาเห็น เป็นกำแพงกั้นรอบชายน้ำทั้งหมด เขาจึงพาเข้าไปทางประตูที่ออก

พอถึงทางออก ก็มีทางออกใหญ่ ที่เรียกว่า รถขนาด ๕ - ๖ คันเรียงเข้าไปยังไม่เต็มทาง เมื่อออกทางนั้นแล้ว ก็ไปสักครู่หนึ่งก็ไปเจอะกำแพงอีกด้านหนึ่ง อีกชั้นหนึ่ง หรืออีกตอนหนึ่ง เป็นกำแพงกั้นตรง เลี้ยวซ้ายไปนิดหนึ่ง เดินไปสักครู่หนึ่ง ก็ไปเจอะประตูทางออกต่อไป เมื่อเดินตรงไปแล้ว ก็ไปเจอะกำแพงอีกชั้นหนึ่ง เป็นกำแพงสูงเหมือนกัน

ถามเขาบอกว่า กำแพงนี้เขาทำไว้ทำไม ผู้นำก็บอกว่า กำแพงนี่ชาวเกาะเขามีความฉลาด คลื่นลมตามธรรมดา ถ้าธรรมดา ๆ แล้ว เขาไม่กลัวกัน แต่ก็เป็นธรรมดาอยู่เอง คลื่นลมที่มีความแรงมากมีอยู่ แต่คลื่นลมจะแรงมาก จะขนาดไหนก็ตาม จะทำลายบ้านเรือนเขาไม่ได้ เพราะว่าเขาชินต่อการป้องกัน แต่ทว่ากระแสน้ำอาจจะตีขึ้นเกาะเขาได้

ฉะนั้นเขาจึงหาทางป้องกันกระแสน้ำ อย่างกำแพงชั้นแรกชายทะเลนี่ เมื่อน้ำกระแทกเข้ามาแล้ว น้ำส่วนที่กระแทกกำแพงจะต้องสะท้อนกลับไปมหาสมุทร ส่วนที่เหนือขึ้นไปนั้น เหนือกำแพงขึ้นไป ก็จะตกลงในช่วงช่องของกำแพง ถ้าคลื่นมาอีกก็เป็นแบบนี้ จะทำให้กระแสน้ำมีกำลังอ่อน ก่อนที่ไหลเข้าเกาะ การจะไหลเข้า ก็ไหลลำบาก เพราะช่องไม่ตรงกัน มันเยื้องกัน

กระแสน้ำที่ไหลเข้าไปแล้ว และตกแล้ว ก็ไหลออกมหาสมุทร เขาทำแบบนี้ เขาบอกว่า เป็นการป้องกันแผ่นดินเขาเปียกน้ำได้ดีมาก คือว่า น้ำจะไม่เข้าถึงแผ่นดินใหญ่ ถ้าเข้าถึงบ้าง ก็มีเล็กน้อย มีแต่กระแสน้ำฝน กระแสน้ำของคลื่นจริง ๆ ไม่สามารถจะเข้าถึง เพราะกำลังของคลื่นจะตกลงในระหว่างกำแพงที่เขากั้นไว้ มองดูเขาก็ชื่นใจในความฉลาด

แต่ความจริง เรื่องความฉลาดอย่างนี้ก็ถือว่า ไม่ใช่ความฉลาดเป็นพิเศษ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าคนทุกคนย่อมคิดได้ คนทุกคนสามารถจะสั่งการได้ แต่ทุนทรัพย์ที่จะพึงทำมันไม่มี หลังจากนั้นก็ชวนเขาเข้าไปในเขตตลาด เข้าไปในเมือง เข้าไปในเมืองก็มีสภาพเช่นเดียวกัน มีของทุกอย่างพร้อมมูล บริบูรณ์ทั้งหมด คนก็รูปร่างลักษณะหน้าตาคล้ายคลึงกัน

ทั้งบนบก และในทะเล คล้ายคลึงกันมาก ไม่แตกต่างกัน อย่างคนไทย กับฟิลิปปินส์ ก็มองยากเหมือนกัน คล้ายคลึงกันมาก คนของเขาก็มีสภาพแบบนี้ ไม่เหมือนเช่นเรากับญี่ปุ่น ของเราพอถึงญี่ปุ่นแตกต่างไปเยอะแล้ว พอเข้าไปอินโดนีเซีย ก็รู้สึกว่าแตกต่างกันมาก สังเกตง่าย แต่คนไทยกับฟิลิปปินส์สังเกตยาก เว้นไว้แต่พูด ถ้าไม่พูด จะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร สังเกตกันยาก

ข้อนี้ฉันใด เมืองของเขาเมืองนี้ กับเมืองบนบกที่ผ่านมาแล้ว ก็มีสภาพเช่นเดียวกัน ในเมื่อเขาชวนเดินไปบ้าง นั่งรถไปบ้าง ชมตลาดของเขา ก็ไม่หนาแน่นเหมือนของเรา คนไม่มากเท่าเรา แต่สิ่งของที่ส่งมาทางเรือก็มีมาก โดยมากที่มาจากบนบกมักจะเป็นพืชไร่และของป่า แต่ของที่ชาวเกาะส่งไปขายบนบก เป็นของที่ประดิษฐ์ขึ้นทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ ก็รวมความว่า

ก็เป็นของธรรมดาอีก จึงเดินเข้าไปในจุด ๆ หนึ่ง ในที่นั้นมีสถานที่แปลก ที่ว่า แปลกก็เพราะว่า เป็นตึกไม่สูงเท่าตึกอื่น ตึกเขาสร้างสูง ๆ กว้างขวางใหญ่โต สวยสดงดงามมาก มีแสงสว่างแพรวพราวไปด้วยไฟฟ้า เครื่องไฟฟ้าไม่ต้องห่วง ของเขาดีแน่ แต่ว่าสิ่งที่น่าแปลกก็คือว่า สถานที่นั้น สร้างไม่เหมือนบ้านทุกหลังที่มีอยู่ ที่เคยเห็นมา มียอดแหลม ๆ และก็มีหลังคาคล้าย ๆ กับช่อฟ้า

มีทรงแปลก ๆ รู้สึกว่าสวยสะดุดตา จึงถามเขาว่า สถานที่นั้นเป็นอะไร เขาบอกว่า ที่ตรงนั้นเป็น ศูนย์ศึกษาพระศาสนา ก็ถามเขาว่า ศาสนาที่เขานับถือ เป็นศาสนาอะไร เขาบอก เรื่องศาสนา ที่นี่ไม่บังคับกัน ใครจะนับถืออะไรก็ได้ แต่ว่าทุกคนต้องปฏิบัติให้เหมือนกันหมด นั่นคือ พรหมวิหาร ๔ และกรรมบถ ๑๐

อันนี้ต้องเหมือนกันทุกคนในประเทศนี้ และทุก ๆ ประเทศ เรียกว่า ในโลกนี้ต้องปฏิบัติเหมือนกันหมด นอกจากนั้นคำสอนของท่านผู้ใด จะสอนไปแบบไหนก็ช่างเถิด แต่ว่าจะ ละเมิดพรหมวิหาร ๔ กับกรรมบถ ๑๐ ไม่ได้ ก็ถามเขาว่า นั่นเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไป แต่ศาสนาจริง ๆ ที่ยอมรับนับถือกันส่วนใหญ่ เขาบอกว่า นั่นก็คือ พระพุทธศาสนา ก็ถามเขาว่า

พระพุทธศาสนายอมรับนับถือกันมาตั้งแต่เมื่อไร เขาบอกว่า บรรพบุรุษบอกมาว่า นับถือพุทธศาสนากันจริงจังเมื่อ ๒,๕๐๐ ปีเศษ นับอายุ หรือนับปี ในจักรวาลของโลกชมพู แต่จักรวาลของโลกเขา เขาไม่ได้บอก แต่คนของเขาจริง ๆ ถ้านับอายุในโลกชมพูแล้วจะมีอายุถึง ๑๒,๐๐๐ ปีเป็นอายุขัย ฉะนั้นเวลานี้ คนที่นำทางเขานับอายุในโลกของเราได้ ๘,๐๐๐ ปี ในเมื่อเขามีอายุตั้ง ๘,๐๐๐ ปี

เขาก็ต้องพบพระพุทธศาสนาแน่ เลยถามเขาบอกว่า พระที่มาเทศน์ส่วนใหญ่เป็นใคร เขาบอกว่า ในสมัยนั้นจริง ๆ ส่วนใหญ่เป็น พระโมคคัลลาน์ แล้วก็ถามว่า พระองค์อื่นมาบ้างไหม เขาก็บอกว่า มา ถามว่า การมาของท่าน ท่านมาอย่างไร เขาบอกว่า ท่านก็ลอยมาแบบนี้แหละ เป็นพระที่ลอยได้ ก็บอกกับเขาว่า เวลานี้ พระโมคคัลลาน์นิพพานไปแล้ว เขาทราบไหม

เขาบอกว่า เขาทราบ ก็ถามว่า พระอรหันต์รุ่นนั้นก็นิพพานไปมากมาย เขาทราบไหม เขาบอกว่า เขาทราบ ถามเขาว่า เขารู้จักพระพุทธเจ้าไหม เขาบอกว่า เขารู้จัก ถามว่า เคยเห็นตัวไหม เขาบอกว่า เขาไม่เคยเห็นตัว ไม่เคยเห็นว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร เอาตัวจริง ๆ กัน

แต่พระโมคคัลลาน์เคยทำปาฏิหาริย์ให้เห็น ให้เห็นพระพุทธเจ้ามีรูปร่างลักษณะสวยสดงดงามมาก ก็ถามเขาว่า เวลานี้พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านนิพพานไปแล้ว ยังจะมีพระอะไรมาสอนบ้างไหม เขาก็บอกว่า มี ถามเขาว่า ท่านมาบ่อย ๆ หรือนาน ๆ มาครั้ง เขาบอกว่า ถ้าจะนับเวลาในโลกชมพูกันจริง ๆ ก็จะประมาณ ๓ เดือน มีมาครั้งหนึ่ง

ก็ถามเขาว่า ๓ เดือน ท่านมาครั้งหนึ่ง รู้สึกว่านานไปไหม เขาก็ตอบว่า ไม่นาน เพราะคำสอนของท่านแต่ละอย่าง ท่านสอนไว้แม้จะน้อย แต่ว่าเราก็ปฏิบัติกันไม่ค่อยได้ ถ้าจะใช้คำว่า นาน ก็หมายความว่า ปฏิบัติได้แล้วนานแล้ว ท่านไม่มาต่อให้ อันนี้ควรจะว่านาน และความรู้ความปฏิบัติ ที่ท่านสอนพวกเรา พวกเราปฏิบัติไม่ค่อยจะถึงท่าน

จึงถามเขาว่า ในเมื่อทุกคนที่นี่ ตั้งอยู่ใน พรหมวิหาร ๔ และในกรรมบถ ๑๐ และคำสอนของพระโมคคัลลาน์ ท่านสอนอย่างไรต่อไปอีก เขาบอกว่า ท่านก็แนะนำให้ละสังโยชน์ สังโยชน์มี ๑๐ อย่าง ถ้าพูดไปแล้วก็เหมือนของเรา ก็บอกว่า การละสังโยชน์ ๑๐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ๓ เบื้องต้น ท่านทำได้ไหม เขาบอกว่า เขาทำได้ แต่มันไม่หมด การทรงตัวยังไม่แน่แท้นัก

ก็ถามว่า ข้อไหนที่ถือว่ายากที่สุด เขาบอกว่า ทุกข้อไม่ยาก แต่ก็ไม่มีความมั่นใจว่า ทำได้จริง ๆ อันนี้เขาไม่ประมาทจริง ๆ ก็เลยบอกว่า ในเมื่อโลกนี้ทั้งโลกบังคับว่า ต้องปฏิบัติใน พรหมวิหาร ๔ และกรรมบถ ๑๐ ในเมื่อสองอย่างนี้ครบถ้วน ทุกคนก็เป็นพระโสดาบัน กับสกิทาคามีได้แล้ว คือว่า ทุกคนยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์

และถ้าปฏิบัติใน ศีล และกรรมบถ ๑๐ ได้ครบถ้วนก็เป็นพระอริยะเบื้องต้น คือ พระโสดาบัน หรือสกิทาคามี เขาบอกว่า ถ้า ๒ อย่างนี่ไม่หนัก แต่มันหนักอีกอย่างหนึ่ง ถามว่า หนักอะไร เขาก็ตอบว่า หนักในการเห็นตัวทุกข์ คนโลกนี้จริง ๆ ไม่ค่อยจะเห็นทุกข์ ทุกอย่างมันสุขหมด จะกินเมื่อไร ก็มีกิน จะนอนเมื่อไร ก็ได้ อันตรายต่าง ๆ ก็ไม่มี การระมัดระวังต่าง ๆ ก็ไม่มี

การเดินไปเดินมา จะหาคนฉกกระเป๋าแบบโลกชมพู ก็ไม่มี นอนหลับ ตื่นขึ้นมาของหายแบบโลกชมพู ก็ไม่มี นั่งอยู่ดี ๆ ถูกจี้เอาเงินเอาทองไปแบบโลกชมพู ก็ไม่มี นี่เขาสรรเสริญโลกชมพูเรานะ เป็นอันว่า โลกชมพูเรา เขาสรรเสริญมากว่า นักจี้ก็มี นักปล้นก็มี นักล้วงกระเป๋าก็มี มีทุกอย่าง เขาบอกว่า ยิ่งไปกว่านั้น โลกชมพู ยังมีความรู้พิเศษ

คือ ความรู้บวก คำว่า บวก หมายถึงว่า หากำไรของอย่างนี้ ซื้อมาเท่านี้ บอกราคาเท่าโน้น แล้วขายเท่าโน้นต่อไปอีก ของซื้อมาหนึ่งบาท บอกว่า หกสลึง ขาย สองบาท ในขณะที่บอกราคานี้เป็นกำไรในตัว อย่างนี้เขาเรียกว่า บวก อย่างนี้โลกชมพูก็มี แต่ว่าชินโลกนี้ไม่มี พอเขาพูดให้ฟัง ก็มีความเข้าใจว่า คนโลกนี้ไม่เข้าใจในทุกข์

และเขาก็พูดต่อไปว่า ข้อหนึ่งของสังโยชน์ นั่นคือ สักกายทิฐิ ที่พระโมคคัลลาน์สอนให้เห็นว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา คือ เรา กับ ร่างกาย แยกกันออกไป ร่างกาย ถ้ามันตายแล้ว เราไม่ตาย เรามีความดี คือ บุญ ทำไว้ ไปสวรรค์บ้าง ไปพรหมโลกบ้าง ไปนิพพานบ้าง ถ้าเรามีความชั่ว มีบาป

เช่น ปาณาติบาต เป็นต้น ก็ไปเกิดเป็น เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง ลงนรกไปบ้าง และให้ถือว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง ความตายจะมาถึงเราเมื่อไรก็ได้ อย่างนี้คนโลกนี้ไม่เข้าใจ ก็ถามเขาว่า ทำไมถึงไม่เข้าใจ เขาก็บอกว่า คนโลกนี้จริง ๆ จะต้องมีอายุ ๑๒,๐๐๐ ปีเต็มทุกคนจึงตาย ในเมื่ออายุไม่ถึง ๑๒,๐๐๐ ปีมันไม่ตาย

จะถือว่า ความตายจะเข้าถึงเราเมื่อไรก็ได้ มันก็นึกไม่ออก นึกได้แต่เพียงว่า เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็มีความตายในที่สุด แต่ก็มองไม่เห็นทุกข์ คิดว่า ถ้าเราเกิดมาเป็นคนต่อไปอีก เราก็มีความสุขอย่างนี้ เวลานี้มีความสุข เราไม่มีรถใช้ เราก็โดยสารรถได้ ราคารถก็ไม่แพง เราไม่มีเครื่องบินใช้ เราก็โดยสารเครื่องบินได้ จะไปเมื่อไรก็ได้ เครื่องบินมีเยอะ

ค่าพาหนะก็ถูก คือว่า ประเทศนี้ไม่ได้ใช้น้ำมันก็รวมความว่า คุยกันไป คุยกันมา เวลามันก็มาก คนฟังรำคาญหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เมื่อสรุปแล้ว คนโลกนี้คิดว่า พระโสดาบันเป็นของยาก และยากข้อเดียว คือ สักกายทิฐิ ก็น่าเห็นใจเขา แต่ความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ เขามีจริง หลังจากนั้นก็ชวน บอกว่า

ถ้าอย่างนั้น อาคารหลังนี้ เป็นอาคารสอนศาสนาใช่ไหม เขาบอกว่า ใช่ ถามเขาว่า เวลานี้มีพระมาไหม เขาแลเห็นธงสีเหลืองยกขึ้น เขาบอกว่า เวลานี้พระกำลังเทศน์แล้ว ก็บอกเขาว่า ถ้าอย่างนั้นต้องขออภัยที่รบกวนท่าน ทำให้ท่านไม่มีโอกาสได้ฟังเทศน์ เขาก็เลยบอกว่า ไม่เป็นไร ที่นี่เป็นเมืองเกาะสำหรับเขา เขาฟังมาแล้วจากเมืองบนพื้นดิน

พระท่านเทศน์ที่โน่น แล้วก็มาเทศน์ที่เมืองบนเกาะนี้ ก็ถามเขาว่า เวลาที่พระเทศน์ เราจะเข้าไปได้ไหม เขาบอกว่า พระท่านเทศน์ ความจริง ท่านไม่ได้พูดคนเดียว ท่านพูดกับคนเป็นแบบสนทนากัน เรียกว่า เทศน์ ท่านถามถึงความเข้าใจในเรื่องที่ท่านพูดไหม อย่างนี้เข้าใจไหม อย่างนั้นเข้าใจไหม เรียกว่า รู้เรื่องกัน เราเข้าไปได้ มาถึงเมื่อไร ก็ฟังเทศน์ได้

คุยเทศน์ได้ คำว่า คุยเทศน์ ก็หมายความว่า เราถามได้ จึงชวนเขาให้เขานำเข้าไปในสถานที่สอนศาสนา พอเข้าไปในสถานที่นั้น ก็ปรากฏว่า ที่บริเวณกว้างขวางจริง ๆ ตึกด้านหน้า ที่มองเห็นด้านหน้าเป็นมุข แสดงว่า ที่นี่ เป็นที่สอนศาสนา แต่เข้าไปข้างใน เป็นตึกใหญ่มาก บริเวณกว้างขวางมาก มีแสงสว่าง มีความเย็นดีมาก และเครื่องขยายเสียงเขา ก็ดีมาก จริง ๆ

ใครจะพูดเมื่อไร ก็ได้ยินกันทั่วเมื่อนั้น ไมโครโฟนเขา ก็ไม่ต้องตั้งให้ชูสูง อย่างไมโครโฟนของเรา อย่างที่คนพูดนี่ ไมโครโฟนตั้งสูง ของเขามองไม่ เห็น อยู่กับพื้น นั่งโต๊ะปุ๊บเป็นพบไมโครโฟน คือ ช่องเล็ก ๆ และก็พูดได้ทันที ใครพูดขึ้นมา คนอื่นได้ยินหมด เมื่อเข้าไปในที่นั้นเจอะพระ ท่านกำลังนั่งอยู่บนธรรมาสน์งามสง่ามาก องค์โตกว่าคนธรรมดามาก ใหญ่มาก

ก็ทราบได้ทันทีว่า การแสดงองค์แบบนั้น ต้องเป็นการแสดงปาฏิหาริย์ ก็ถามคนที่เขานำว่า องค์นี้พระอะไร เขาบอกว่า องค์นี้คือ พระโมคคัลลาน์ ที่ท่านบอกว่า พระโมคคัลลาน์นิพพานแล้วสำหรับโลกโน้น แต่โลกนี้ พระโมคคัลลาน์ไม่เคยนิพพาน ท่านมาตามเวลาของท่านจริง ๆ องค์ใหญ่ขนาดนี้ คนในพื้นพิภพนี้ทั้งหมด เรียกว่า โลกนี้ทั้งหมด เขาเรียกองค์นี้ว่า

เป็นพระใหญ่ ที่บางคนในโลกชมพู เขามีคนมาแล้วนะ ไม่ใช่มีแต่เฉพาะคณะของท่าน เขามีคนมาแล้ว เขาเคยถามว่า โลกนี้ มีพระพุทธศาสนาไหม ก็บอกเขาว่า มี เขาถามว่า พระอะไรมาสอน ก็บอกเขาไปว่า ส่วนใหญ่ พระองค์ใหญ่มาสอน คำว่า พระองค์ใหญ่ ก็หมายถึง พระโมคคัลลาน์ เวลานั้น ท่านกำลังเทศน์ เข้าไปด้านนั้น รู้สึกว่า ท่านหันมาข้างหน้า

แต่คนนั่งทุก ๆ ด้านก็มีความรู้สึกว่า นั่งข้างหน้าท่านทั้งหมด อันนี้เป็นปาฏิหาริย์ใหญ่ ตามบาลีบอกว่า อาการอย่างนี้จะแสดงได้เฉพาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่นั่นก็หมายความว่า ทุกองค์ยังมีชีวิตเป็นมนุษย์อยู่ เวลานี้อัครสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู คือ พระโมคคัลลาน์ ท่านนิพพานไปแล้ว คำว่า นิพพาน แปลว่า สูญ

เมื่อวันที่ ๑๖ เด็กนักเรียนสตรีวิทยา มาปฏิบัติกรรมฐานที่วัดท่าซุง เธอถามว่า นิพพาน เขาบอกว่า สูญ ใช่ไหม ก็ตอบว่า เขาแปลกันว่า สูญ เธอก็ถามว่า สูญ หมายถึง สลายไปเลย หายไปเลยใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่ เธอก็ถามว่า เวลาปฏิบัติกรรมฐานจริง ๆ ทำไมจึงมีความรู้สึกสัมผัส นี่เป็นอันว่า เด็กนักเรียนเธอบอกว่า นิพพาน มีความรู้สึกสัมผัส สัมผัสรู้ว่านี่เป็นนิพพาน

จะพูดกันง่าย ๆ ก็หมายความว่า นิพพานที่เธอสัมผัสมีตัว มีตน ก็เลยบอกกับเธอว่า นิพพานก็ดี สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นต้น เขาเรียกว่า นามธรรม แต่สิ่งที่ประสบของเธอ เป็นรูปขึ้นมา เขาเรียกว่า รูปในนาม คือ ส่วนที่เป็นนาม ก็มีรูปของนาม เราไม่สามารถเห็นได้ด้วย ตาเนื้อ ก็ต้องใช้กำลังจิตสัมผัส

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องกล่าวว่า ต้องใช้กำลังทิพจักขุญาณสัมผัส ใช้ตาเนื้อไม่ได้ ต้องใช้ตาใจ คือใจเป็นทิพย์ เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท มองดูเวลาเหลือนาทีเศษ ๆ ก็จะหมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์ พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


6

ดาวหลุมดำ ตอนที่ ๘



ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย มาตอนนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่อง เมืองชินโลก หรือโลกถุงดำ หรือดวงดาวถุงดำ กันต่อไป ก็ขอท่านผู้อ่านก็ดี ท่านผู้ฟังก็ดี อย่าลืมว่า เป็นนิทาน แต่ว่านิทานพระพูดก็มีธัมมธัมโมที่น่ารำคาญผสมอยู่ด้วย เป็นของธรรมดา เพราะว่าสถานีวิทยุเขาถือว่า วันนี้เป็นรายการธรรมะ ก็ว่ากันเรื่อย ๆ ไป เป็นธรรมบ้าง หรือเป็นอะไรบ้าง ก็ตามเรื่อง

เป็นนิทานบ้าง เป็นธรรมะไปบ้าง แต่ว่าตอนท้าย ๆ ธรรมะจะมากหน่อย เพราะเรื่องของโลกนี้มันหมด ถ้าคุยกันไปก็มีแต่เรื่องซ้ำ ๆ เรื่องของคน แต่ก็มีจุด ๆ หนึ่งเป็นของที่โลกเราก็มี นั่นคือ เรือนกระจกในน้ำ ในมหาสมุทร เขาก็มีทางลงจากบก เหมือนกับอุโมงค์รถลอด อุโมงค์จากนี่ไปโน่นนั่นแหละ เหมือนกับที่ฮ่องกง คือ ลอดจากอีกฝั่งหนึ่ง ไปฝั่งหนึ่ง ลอดมหาสมุทรไป ลงไปในน้ำ

ไปถึงเรือนกระจก เรือนกระจกเขาสวยสดงดงามมาก มีไฟฟ้าสว่าง มีแสงสว่างมาก มีเครื่องยิง เครื่องยิงให้ปลา คือ ไม่ใช่ยิงปลา เครื่องยิงอาหารให้ปลา ไปชมปลาต่าง ๆ มีความสวยสดงดงาม มีสีหลาก ๆ กัน ปลา กับ คน ไม่เป็นศัตรูกัน เพราะคนไม่กินปลา ปลาก็เลยไม่กลัวคน ก็มีสถานที่บางจุด ถ้าคนจะออกไปว่ายน้ำเล่น ก็มีเครื่องประดาน้ำสำหรับหายใจได้

เพราะมันใต้ส่วนลึกของมหาสมุทร เขาก็มีเครื่องยิง ยิงปุ๊บไป เหมือนกับทหารเรือยิงตอร์ปิโด แต่ว่ายิงไปแล้ว ขากลับก็เข้ามาถึงจุดที่เข้า ก็ดูดเข้ามา อันนี้เป็นของไม่ยาก โลกนี้ก็ทำได้ โลกโน้นก็ทำได้ แต่ว่าที่น่าแปลกใจก็คือ คนพูดไม่เคยลงเรือนกระจกในโลกนี้ แต่ก็ไปลงเรือนกระจกในโลกนั้น เรือนกระจกของเขามีมาก จากเรือนนี้แล้ว ถ้าจะไปเรือนโน้นก็มีอุโมงค์ไป เป็นทางไป

ก็มียานสำหรับเป็นพาหนะ เป็นรถย่อม ๆ วิ่งไปได้ แล้วไปถึงเรือนโน้น แล้วก็ไปถึงเรือนโน้น เรื่องอาหารการบริโภคไม่ต้องห่วง เขามีพร้อม ระบบอากาศหายใจเขาก็ดี ไม่เห็นมีอะไร เข้าไปในเรือนกระจกก็ไม่ต้องใส่หน้ากากให้มีออกซิเจน ไม่มีอะไรทั้งนั้น เดินกันแบบสบาย ๆ เพลิดเพลิน จะพรรณนาความสวยสดงดงาม ดีไม่ดี ปลาในโลกชมพูเราอาจจะสวยกว่า

เพราะว่า ก็ไม่รู้จักปลาทุกประเภท ถ้าจะถามว่า เห็นปลาทำอันตรายกันไหม ก็ขอตอบว่า เห็น เพราะปลาไม่มีพระเทศน์สอนให้ปลาไม่ทำอันตรายกัน ก็มีปลาทำอันตรายกันก็มีให้เห็นบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก ส่วนใหญ่ก็เป็นปลามาล้อมรอบเรือนกระจก รับอาหาร คนที่ไปทุกคน ต่างคนต่างก็ซื้ออาหารให้กับปลา ใส่เครื่องยิง ยิงไปแล้ว อาหารก็พุ่งออกไป

กระจายออกปลาก็แย่งกันกินตามระเบียบของปลา จุดนี้จริง ๆ แล้วก็ไม่มีอะไร ถามเขาว่า เรือนกระจกยังมีอีกมากไหม ยังเห็นมีทางต่อไป เขาบอกว่า มีมาก เพราะเมืองในมหาสมุทรเขาได้เปรียบ เขาไม่เก็บค่าผ่านประตูเข้ามาชมเรือนกระจก ค่าพาหนะที่จะมาส่ง เขาก็ไม่เก็บ แต่ว่าเขาขายอาหารที่ให้กับปลา คนจะเลี้ยงปลา ต้องซื้ออาหารจากเขา และอาหารที่ซื้อก็รู้สึกว่าไม่แพง

เมื่อเทียบกับโลกเรา มันต่างกันเยอะ ราคาของเขาถูกมาก เพราะความเป็นอยู่เขาดี รัฐบาลเขาก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องเก็บภาษีให้มาก เพราะบรรดาข้าราชการทั้งหมด ข้าราชการเขาก็มีไม่มาก อย่างของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตำรวจอย่างเดียว ก็เข้าไปเป็นแสนแล้ว ต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อบุคคลสูง เฉพาะเงินเดือนกับเบี้ยเลี้ยง ก็ยังแถมค่าพาหนะ ค่าโรงแรม ค่าห้องพักอีก

นอกจากนั้นเครื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ต้องมาก ก็ต้องจ่ายสตางค์ แล้วยานพาหนะก็ต้องใช้ ต้องใช้เยอะ ของเขาก็มียานพาหนะเหมือนกัน แต่ว่ายานพาหนะของเขาไม่เปลืองสตางค์ เพราะเขาไม่ได้ใช้น้ำมัน เขาใช้รังสีของแร่ จะถามเขาว่า แร่อะไร เขาก็ไม่ได้บอก ก็ไม่ได้ถาม ไม่ได้ซัก เพราะเห็นว่า โลกเราใช้ยูเรเนียมเป็นกำลังขับเคลื่อนกันอยู่แล้ว ของเขาอาจจะมีเหมือนเรา

เราอาจจะมีเหมือนเขาก็ได้ ก็รวมความว่า ไม่ได้ซักถาม และจุดนี้อีกจุดหนึ่งเป็นสิ่งที่น่าเที่ยว หลังจากนั้นก็กลับ เมื่อกลับขึ้นมาบนบกแล้ว ก็ชวนคนพาเจ้าของถิ่นว่า อยากจะขึ้นบนบกอีกฝั่งมหาสมุทรหนึ่ง เขาก็บอกว่า เมืองเกาะมีมาก จะไปแวะเมืองเกาะอื่น ๆ ไหม ก็เลยบอกว่า มันมีสภาพแตกต่างกันไหม เขาบอกว่า แตกต่างกันบ้างนิดหน่อย ส่วนใหญ่ก็เหมือนกัน

ก็เลยบอกว่า ถ้ามันเหมือนกันไม่ไปดูดีกว่า ไปดูแล้วก็ไม่ทราบว่า จะนำอะไรไปได้ ของสักชิ้นหนึ่งที่มาที่นี่ ก็ไม่มีโอกาสจะนำไป เขาก็บอกว่า เอ๊ะ ก็เหมือนพระที่ท่านเทศน์ ถามว่า ทำไม เขาบอกว่า พระที่มาเทศน์ก็เหมือนกัน คนเขาก็มีศรัทธา เมื่อฟังเทศน์แล้ว ก็ถวายอย่างโน้นถวายอย่างนี้ แต่เวลาพระท่านจะไป ท่านบอกว่า

ทรัพย์สมบัติที่เกิดขึ้นที่ไหน ให้อยู่ที่นั่น นั่นก็หมายความว่า ท่านมอบไว้กับเจ้าหน้าที่ เจ้าของวัด เจ้าของสถานที่พระศาสนา แล้วเจ้าของสถานที่พระศาสนาก็ทำการจัดสร้างบ้าง จัดของ หาซื้อของใช้ต่าง ๆ นานา ก็รวมความว่า มีทุกอย่างเท่าที่เกิดขึ้นมาแล้ว ที่เห็นเมื่อกี้นี้ ก็เพราะว่า เงินที่เหลือจากพระท่านเทศน์ พระท่านเทศน์แล้ว ท่านก็ไม่ได้นำไป

ก็เลยบอกเขาว่า การที่ไม่นำไปของพระท่าน ท่านอาจจะไม่นำไปเพราะ จิตเมตตาก็ได้ หรือท่านไม่สะสมทรัพย์สิน ท่านไม่มีความจำเป็นในทรัพย์สินก็ได้ แต่สำหรับข้าพเจ้าที่ไม่นำไป ก็เพราะว่า แบกไปไม่ได้ ขึ้นชื่อว่า วัตถุนิดหนึ่ง ก็ไม่สามารถจะแบกไปได้ เขาถามว่า ถ้าอย่างนั้นมาที่นี่ อยากได้อะไรบ้าง ก็เลยตอบเขา ตรงไปตรงมาว่า การมาที่นี่ไม่ใช่อยากได้ อยากรู้อย่างเดียว

มีความอยากเหมือนกัน อยากจะรู้ว่า ไอ้ถุงดำในอากาศ ที่นักวิทยาศาสตร์เขามองกัน มันคืออะไรกันแน่ เขาก็ย้อนถามว่า ท่านเข้าใจถุงดำแล้วหรือยัง ก็บอกว่า เข้าใจแล้ว เพราะว่าไปในอุ้งของถุงดำมาแล้ว เขาก็เลยถามว่า ท่านไปในอุ้งของถุงดำ ในท้องของถุงดำ เคยเห็นอะไรบ้าง ก็บอกว่า เรือบินก็เห็น ยานพาหนะที่มีลักษณะกลม ๆ อย่างของท่านมี ก็เห็น

แล้วก็ดวงดาวต่าง ๆ ที่ลอยเข้าไป ก็เห็น เขาก็ถามว่า ดวงดาวต่าง ๆ มีลักษณะแตกต่างกันไหม ก็บอกว่า ดวงดาวที่เข้าไป มันคล้ายคลึงกันก็มี มีลักษณะแตกต่างกันก็มี ดวงดาวบางดวงดาวก็มีขุมทรัพย์อยู่หลังดวงดาวนั้น บนผิวโลก ถามเขาว่า ที่นั่นท่านเคยไปไหม เขาบอกว่า ถ้าบินรอบโลกนั่งเครื่องบิน ก็ต้องผ่านจุดนั้น เขาบอกว่า บินรอบจากสูงไปต่ำ ถ้าบินรอบข้าง ๆ ก็ไม่ต้องผ่าน

ก็ถือว่า สถานที่นั่น เป็นสถานที่เที่ยวของคนโลกนี้ โอ้โฮ น่าอัศจรรย์ ก็ถามเขาว่า เคยเห็นทรัพย์สินไหม เขาบอกว่า เคยเห็น ถามเขาว่า ไอ้ธาตุสีเหลือง ๆ อร่าม ที่นี่เขาใช้ไหม เขาก็บอกว่า ใช้ ถามว่า ท่านไปที่นั่น ไม่อยากได้ทองคำที่นั่นบ้างหรือ เพราะมีโลกอยู่โลกหนึ่ง อาจจะมีหลายโลกก็ได้ ขึ้นไปที่โลกต่าง ๆ เพียงแค่สามโลก

เท่าที่มองเห็นมันเกิน ๓๐๐ โลก อยากจะถามว่า ท่านอยากได้ทองคำไหม เขาบอกว่า ไม่เคยอยากได้ เพราะพื้นพิภพนี้ก็มีเยอะ แล้วก็ถามเขาว่า พื้นพิภพนี้ ทองคำเป็นวัตถุมีค่าสูง หรือว่า ทองคำเป็นวัตถุมีค่าต่ำ เขาบอกว่า ขึ้นชื่อว่า ทองคำ โลกชมพูต้องการขนาดไหน เขาไม่ทราบ แต่ที่นี่ถือเป็นมาตรฐานการเงิน การเงินต่าง ๆ แบงก์ต่าง ๆ ที่พิมพ์ออกมา ต้องมีทองคำรับรอง

ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นโลกโน้นกับโลกนี้ ก็มีสภาพเหมือนกัน ก็เลยล้วงกระเป๋าอีกนิดหนึ่ง ถามว่า ที่นี่ คนจน ๆ มีไหม เขาถามว่า คำว่า จน หมายถึงอย่างไร ก็ตอบว่า จนขนาดที่ไม่มีกิน ไม่มีใช้ ต้องขอทาน เขาก็ยิ้ม บอกว่า ที่นี่ไม่มีความจำเป็นต้องขอ เพราะว่า ถ้าบุคคลใดเขาเห็นว่า คนกลุ่มใด หรือบุคคลใดก็ตาม เห็นว่าคนใดมีความขัดข้องเรื่องความเป็นอยู่

โดยเฉพาะการเงินก็ดี เสื้อผ้าก็ดี อาหารการบริโภคก็ตาม เขาก็รีบช่วยกันสงเคราะห์ แต่เขาบอกว่า เขาเกิดมา ๘,๐๐๐ ปีของโลกชมพู ยังไม่เคยเห็นใครต้องสงเคราะห์กันด้วยวัตถุอย่างนี้ ที่มีความขัดสนจริง ๆ มีแต่เพียงว่า เรามีอย่างนี้ เขามีอย่างโน้น เรามีมากชิ้น ไปแบ่งให้เขา เขามีอย่างหนึ่งที่เราไม่มี เขาแบ่งให้เรา มีแค่นี้ คำว่า ยากจนจริง ๆ ไม่มี

ก็ถามเขาถึงอาชีพ เขาบอกว่า อาชีพส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไร ในประเทศที่ท่านจากมา ส่วนใหญ่ก็เป็นเกษตรกรรม หรือว่าอาชีพของป่าไม้ ของในป่า และสิ่งประดิษฐ์ก็มีมาก โรงงานก็มีเยอะ ก็ไม่มีอะไร ต่างคนต่างก็ทำกัน การใช้จ่ายนี่มันไม่เปลือง เพราะว่า ที่นี่กินผักเป็นพื้นฐาน ในเมื่อกินผักเป็นพื้นฐานแล้ว ก็ปลูกผักกัน ของเรามีอย่างนี้ ของเขามีอย่างนั้น

ถ้าใครไม่มีอย่างไหน ก็แลกกัน ใครต้องการอย่างไหน ก็ขอกันได้ ที่นี่เขาไม่มีการหวงกัน เขาก็บอกว่า โลกนี้พระท่านบอกว่า เป็นโลกมนุษย์ พอเขาพูดอย่างนี้ ก็หนักใจเหมือนกัน ที่เคยศึกษาในพุทธศาสนา ในธรรมะ ท่านมี ท่านบอกว่า ให้ปฏิบัติในมนุษยธรรม ถ้าปฏิบัติในมนุษยธรรมได้ ก็สามารถจะเกิดเป็นมนุษย์ได้ ก็ยังมีความสงสัยว่า คนทุกคนในโลกชมพู

ต่างคน ต่างก็เรียกตนเองว่า เป็นมนุษย์ แล้วทำไมพระพุทธเจ้า จึงจะมาสอนมนุษยธรรมอีก ในเมื่อเกิดมาเป็นคนแล้ว เมื่อตายจากความเป็นคน มาเกิดเป็นคน มันก็ต้องเป็นของไม่ยาก เพราะว่าเป็นสถานที่เดิมของตนที่เคยอยู่ แต่นี่เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมครู ที่คนพูดไม่ทราบ แต่คนพูดเองมีความโง่ถนัด มีความเข้าใจว่า คนทุกคนที่เกิดมาในโลกชมพู เป็นมนุษย์

ครั้นมาเจอะมนุษย์ในชินโลก หรือว่าดาวถุงดำนี่เข้า จึงมีความเข้าใจจริง ๆ ว่า เขาเป็นมนุษย์แน่ ชาวโลกชมพูตามความรู้สึกของคนอื่นเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ ถ้าพลาดไปก็ขออภัยด้วย ตามความรู้สึกของผู้พูดจริง ๆ คือว่า ที่โลกมนุษย์ หามนุษย์ได้ยาก ที่โลกชมพูนี่นะ หาคนที่เป็นมนุษย์แสนจะยาก ไม่ใช่ไม่มี ปริมาณที่มีก็มีน้อย แต่ว่าถ้าจะเป็นคนเสียจริง ๆ เป็นคนมาก

ในโลกชมพูเรา มีคนมากกว่ามนุษย์ แต่การพูดอย่างนี้ บางท่านอาจจะร้องตะโกนถามว่ามนุษย์ กับคนมันต่างกันตรงไหน ก็ขอตอบว่า ในอาการ ๓๒ จริง ๆ ไม่ต่างกัน มีธาตุ ๔ เหมือนกัน มีอาการ ๓๒ เหมือนกัน แต่ความรู้สึกของจิตใจไม่เหมือนกัน สำหรับ มนุษย์ ท่านแปลว่า ใจสูง คำว่า ใจสูง ก็คือ มีอารมณ์ไม่ต่ำ

อารมณ์ประเภทใดก็ตามที่นำมาซึ่งความเดือดร้อน มนุษย์เขาไม่ใช้กัน เช่น ความโกรธ การแสดงอาการความโกรธเป็นศัตรูกัน เขาไม่มี เขามีแต่ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มนุษย์เขามีแต่เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทุตา มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยากัน ใครได้ดีก็พลอยยินดีด้วย อุเบกขา ถ้าอะไรก็ตาม เกิดความขัดข้องขึ้นมา ไม่สามารถจะแก้ไขได้

ก็วางเฉยไม่ดิ้นรน คือ ไม่กลุ้ม ไม่กระวนกระวาย และนอกจากนั้น ขึ้นชื่อว่า ชีวิต เลือดเนื้อร่างกาย ทุกคนรัก ก็ไม่มีใครทำร้ายร่างกายกัน ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ เรารัก เขาก็รัก ก็ไม่มีใครยื้อแย่งทรัพย์สมบัติกัน คนรักของเรา เราก็รัก ของเขา เขาก็รัก ไม่มีใครละเมิดความรักกัน และวาจา ก็มีวาจาจริง วาจาอ่อนหวาน และก็วาจาแสดงความเป็นมิตร

วาจามีหลัก มีเกณฑ์ มีเหตุ มีผล เขามีวาจาสี่ ด้านจิตใจ เขาไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใครโดยไม่ชอบธรรม เขาไม่ให้ เราไม่เอา และก็ไม่ขอทำให้ใครสะเทือนใจ และก็ไม่คิดจองล้างจองผลาญ โกรธอาจจะมีบ้าง อารมณ์ไม่พอใจอาจจะมีบ้าง แต่ไม่แสดงออก และไม่จองล้างจองผลาญ จองเวรจองกรรมกัน อารมณ์ใจคิดถูกตามความเป็นจริง ด้วยเหตุผลเสมอ นี่ลักษณะของมนุษย์

เขาเป็นอย่างนี้ สำหรับคนในโลกชมพูของเรา ไม่ต้องเอากรรมบถ ๑๐ เอาแค่ศีล ๕ อาจจะนับตัวได้ว่าใครทรงศีล ๕ บริสุทธิ์บ้าง อย่าลืมว่า ชินโลก หรือว่าดาวหลุมดำ เขาต้องฝึกกรรมบถ ๑๐ และพรหมวิหาร ๔ กันมาตั้งแต่เกิด ขณะที่อยู่ในท้องแม่ ถ้าลูกสามารถได้ยินเสียงแม่ได้ จะได้ยินเสียงแม่พูดเรื่อง พรหมวิหาร ๔ กรรมบถ ๑๐ ให้ได้ยิน หรือว่าชาวบ้านคุยกัน คุยกันให้ได้ยิน

ถ้าสามารถได้ยินได้นะ รวมความว่า ตั้งแต่อยู่ในท้อง ก็อยู่ในท้องของคนมีกรรมบถ ๑๐ และพรหมวิหาร ๔ ออกมาแล้ว ก็อยู่ในแวดวงของคนที่มี พรหมวิหาร ๔ และกรรมบถ ๑๐ การที่จะทรงอารมณ์ตามนี้ จึงเป็นของไม่ยาก เพราะว่าชินมาตั้งแต่ลืมตาเห็น ก็เป็นอันว่า โลกชมพูของเรา เป็นโลกของคน คำว่า คน แปลว่า ยุ่ง มันผสมผเสทั้งความชั่ว และความดี

ความชั่วก็มี ความดีก็ปรากฏ เขาเรียกว่า คน เอาแน่นอนไม่ได้ เดี๋ยวก็ดีบ้าง เดี๋ยวก็ชั่วบ้าง เช้าดี บ่ายชั่ว หรือเช้าชั่ว บ่ายดี อะไรก็ตามใจ กลางวันดี กลางคืนชั่ว กลางคืนดี กลางวันชั่ว มันก็อาจจะมีความชั่วขึ้นมาปะปน ก็รวมความแล้วว่า โลกของเรา ไม่ใช่มนุษย์แน่ ที่จะมีมนุษย์อยู่ก็จริงแหล่ แต่ว่าก็มีคนอยู่มาก ของเขามนุษย์แท้ มีมนุษยธรรมคือ กรรมบถ ๑๐ และพรหมวิหาร ๔

เมื่อคุยกันมาตอนนี้ คนฟังรำคาญหรือยัง เรื่องมันก็หมดแล้วนี่ รำคาญ หรือไม่รำคาญ ก็ไปต่อไป ต่อนี้ไปก็ชวนกันขึ้นบก ไปเมืองที่ถนนตรงไป มันมีถนนแยกไปหลายสายในมหาสมุทร ใต้มหาสมุทร ก็บอกว่า ไปในจุดที่ตรงไป ตั้งหน้ายืนจากเมืองท่าที่เราผ่านมาแล้ว หันหน้าตรงไปทางไหน ไปทางนั้น เขาก็นำตรงไป ไปขึ้นเมืองท่าของอีกฝั่งหนึ่ง ไปนาน ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมง

ก็ไปถึง ทางค่อย ๆ ลาดขึ้น ๆ สังเกตได้ยาก เขาทำดีจริง ๆ ไม่ใช่วิ่งถนนชันตั้งขึ้นไป จนเราสังเกตรู้ ไม่ใช่อย่างนั้น มันขึ้นเนินทีละน้อย ๆ รถก็วิ่งไปตามเรื่องตามราว โผล่ปุ๊บ ถึงผืนแผ่นดินแล้ว ไปที่นี่ เมืองท่าของเขาใหญ่มาก ใหญ่กว่าฝั่งโน้นเยอะ บริเวณกว้างใหญ่ไพศาล บ้านช่องเยอะ บุคคลก็มาก บริเวณก็ไกล อาคารสูง ๆ ก็มีเยอะ ตึกรามมียอดแหลม ๆ ก็มีมาก

ถ้าจะคุยกันไปก็ซ้ำแบบเดิม ก็ถามเขาว่า ประเพณีนิยม หรือหลักเกณฑ์การปฏิบัติ ของคนเมืองท่านี้กับเมืองท่าโน้นเหมือนกันไหม เขาก็บอกว่า เหมือนกัน ถามว่า เงินตราที่ท่านใช้ ต้องไปแลกกันที่ไหน เขาก็ยิ้ม เขาถามว่า ทำไมต้องแลก ก็บอกว่าโลกชมพู เงินตราที่ใช้มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน มีค่าไม่เท่ากัน อย่างเงินไทย ๒๕ บาท ก็เป็นเงินอเมริกันเขา ๑ บาท

ราคาไม่เท่ากันตามนี้ แล้วธนบัตร หรือแบงค์ที่ใช้ก็ลักษณะไม่เหมือนกัน แต่ละประเทศ ต่างคนต่างใช้ ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างมีความพอใจ เขาบอกว่า ชินโลก หรือโลกดาวหลุมดำ ท่านจะไปที่ไหนก็ตาม พกเงินไปอย่างเดียวใช้ได้หมดทั้งโลก แหม..ทำไมสบาย อย่างนี้ก็ไม่ทราบ เป็นโลกที่สบายจริง ๆ ก็คงจะตอบกันได้กระมังว่า ที่สบายจริง ๆ มีการคล่องตัวทุกอย่าง

เพราะมันเป็นโลกนิทาน โลกจริง ๆ ถ้ามีอย่างนี้ ก็คล้าย ๆ กับเทวดา แต่โลกนี้ จะถือว่าเหมือนเทวดาไม่ได้ เพราะยังมีแก่ ยังมีตาย ยังมีผัว มีเมีย ผัวเมียก็มีไม่เหมือนเทวดาเขา เทวดาหรือนางฟ้า เขามีไว้ดูเล่น แต่ของเรา ต้องปฏิบัติตามระเบียบ ระเบียบการแต่งงาน แต่งงานแล้วต้องปฏิบัติแบบไหน ก็ต้องทำตามนั้น เหมือน ๆ กันทุกคน เป็นระเบียบของโลกนี้ และอีกอย่างหนึ่ง

โลกชินโลก หรือโลกดาวหลุมดำก็ดี โลกชมพูก็ดี ก็ปฏิบัติเหมือนกัน การแต่งงาน มีสามี ภรรยา เขาจะต้องปฏิบัติกันอย่างไรบ้าง ต้องมีความรัก ต้องมีความซื่อสัตย์ ซึ่งกันและกัน แต่ความรักจริง ๆ ความซื่อสัตย์จริง ๆ ของเขามีแน่ ก็ลืมถามหมอนี่ไป นึกไปนึกมา ก็เห็นคนเขาเดินมา มีผู้ชายหนึ่งผู้หญิงสามบ้าง ผู้หญิงสี่บ้าง ผู้หญิงหนึ่งบ้าง ก็แปลกใจว่า ลักษณะการเดินแบบนี้

มันเป็นระเบียบของชาวเมืองนี้หรือ ก็ถามเขาว่า คนเมืองนี้รักษากรรมบถ ๑๐ ใช่ไหม เขาตอบว่า ใช่ และก็ถามเขาว่า การแต่งงาน จะต้องมี ภรรยาสามีคู่หนึ่ง คือ ภรรยาคน สามีคน ใช่ไหม เขาตอบว่า ใช่ ก็ถามว่า คนที่เขาเดินไป เมื่อกี้นี้ เขาหลีกเราไป ลักษณะท่าทางคล้าย ๆ เขาเป็นสามีภรรยากันทั้งหมด มีผู้หญิงสี่ ผู้ชายหนึ่ง เขาบอกว่า เป็นสามีภรรยากันจริง

ก็ถามว่า เมื่อกี้นี้ คุณบอกสามีคน ภรรยาคนใช่ไหม คุณตอบว่า ใช่ แต่คณะนี้เขามีภรรยาตั้ง ๔ สามี ๑ คุณไม่กล่าวผิดจากความเป็นจริงหรือ เขาเลยบอกว่า ท่านถามในขณะที่แต่งงานกันนี่ เวลาที่เขาแต่งงานกันจริง เวลาแต่งงานโดยเฉพาะก็มีสามีหนึ่ง มีภรรยาหนึ่ง ผู้ชายเป็นสามี ผู้หญิงเป็นภรรยา แต่ว่า การแต่งงานที่นี่ เขามีหลายวาระได้

นี่แน่..ไอ้โลกนี้มันน่าอยู่ก็ตรงนี้แหละนะ ก็ถามว่า กฎหมายของคุณไม่บังคับหรือ กฎหมายบังคับแต่เพียงว่า ห้ามแย่งสามี ภรรยาของคนอื่น ก็เลยถามเขาว่า ถ้าผู้ชายจะมีภรรยาหลายคน ก็แสดงว่า หญิงอื่นมาแย่งภรรยาของคนนี้ใช่ไหม เขาตอบว่า ไม่ใช่ เขาตอบว่า นั่นภรรยาเดิมเขาอนุญาต เขาถือว่า คนมาใหม่นี่เป็นน้อง ยังมีน้องด้วยนะ คนที่มาใหม่

ต้องมีความเคารพคนก่อนเหมือนพี่ มีความเคารพกันเหมือนพี่ เหมือนน้อง และก่อนที่จะแต่งงานกัน ถ้าสามีไปชอบหญิงคนใด นึกชอบยังไม่ แต๊ะอั๋ง และก็หญิงคนนั้นเกิดความรัก เกิดชอบในชายคนนี้เข้า ซึ่งมีภรรยาแล้ว ทีนี้ถ้าสามีไปชวนบอกว่า แต่งงานกับฉันไหม ผู้หญิงคนนั้นเขาบอกพร้อมที่จะแต่ง ถ้าภรรยาของคุณอนุญาต เขาก็ต้องพามาหาภรรยา

ภรรยาเมื่อซักไซ้ไต่ถามได้ความเป็นจริงว่า เขารักกันจริง ก็อนุญาต อนุญาตให้แต่งงานกันได้ แต่ไม่ใช่เลิกกับเธอ เธอก็ยังเป็นภรรยาหลวงอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่หามาได้ หรือจัดขึ้นมาได้ เธอต้องเป็นหนึ่ง หมายความว่า การนับหนึ่ง นั่นคือ เธอ ถึงเธอก่อน ซื้อก๋วยเตี๋ยวมาสองชาม ชามที่หนึ่งเป็นของเธอ ชามที่สองเป็นของภรรยาคนต่อไป และชามที่สี่ ที่ห้า ก็เป็นของภรรยาคนต่อไป

อะไรก็ตาม ขึ้นต้นเธอหนึ่งอยู่เสมอ อย่างนี้ อย่างนี้เขาบอกว่า ไม่มีการทะเลาะกัน ที่นี่คำว่าทะเลาะเบาะแว้ง การขัดข้องกันเรื่องนี้ไม่มี ความจริงโลกนี้มันก็น่าอยู่ ถามเขาว่า ถ้าอย่างนั้น คุณอยากจะมาเกิดโลกนี้อีกไหม เขาก็ตอบว่า มันก้ำกึ่ง บางเวลาก็อยากมาเกิด แต่ส่วนใหญ่ของเวลา อยากมาเกิด แต่ว่าพระท่านก็บอกว่า

ถ้าต้องการเกิดในโลกนี้ ให้ทุกคนปฏิบัติใน กรรมบถ ๑๐ กับพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน ถ้าหากทั้งสองประการนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งพร่อง จะไม่มีโอกาสมาเกิดโลกนี้ ก็ถามเขาว่า ถ้าอย่างนั้น พระท่านแนะนำว่าอย่างไรต่อไป ท่านบอกว่า ถ้าบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องไปอบายภูมิ คนที่บกพร่องในกรรมบถ ๑๐ ก็ดี ในพรหมวิหาร ๔ ก็ดี

พร่องมีบ้างไม่ใช่ไม่มี ถ้าจะเกิดมีรูปร่างลักษณะอย่างนี้ใหม่ ต้องไปเกิดในโลกชมพู แหม..ฟังแล้วก็ช้ำใจ นี่เขาจะด่าผู้พูดบ้าง หรือเปล่า ก็ไม่ทราบ และเขาก็รู้แล้วว่าเราเป็นคนโลกชมพู ก็เป็นอันว่า ต้องยอมรับกับเขา เมื่อเห็นเวลา มันใกล้จะหมดเวลา หมอทำฟันใกล้จะเสร็จ เขากรอแล้ว กรออีก เจาะแล้ว เจาะอีก เพื่อจะเอาหนองออก ดูดหนองบ้าง

นี่เป็นวาระที่หมอเตือนใจทำ แต่งานนี้หมอจำนูนที่อยู่กรุงเทพฯ ก็อยากจะทำให้แต่ว่า คลีนิคอยู่ไกล อยู่ถึงกรุงเทพฯ แต่หมอเตือนใจอยู่นครสวรรค์ ใกล้หน่อย เมื่อพูดถึงหมอจำนูน เวลาเหลือประมาณสัก ๒ นาที ก็ขอบอกข่าวว่า วันนี้คือ วันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๓ หมอจำนูนโทรศัพท์มาถึง ครูนนทา อนันตวงษ์ ที่วัดท่าซุง อุทัยธานี เธอบอกข่าวดีว่า เธอฝันไปว่าต่อไปเบื้องหน้า

คนที่เขามีโอกาสมีสตางค์มาก ๆ จะเอาเงินมาแจก สมมติว่า เมื่อ ๔ ปีไปแล้ว ใครลงทุนไปหนึ่งบาท เขาจะแจกให้หกสลึง เฉพาะคนที่อยู่ในทะเบียนที่หนึ่ง สำหรับคนที่อยู่ในทะเบียนที่สองไม่แน่ อาจจะแจกให้มากกว่านั้น แต่การที่หมอจำนูนเธอฝัน ไม่ทราบว่า ฝันจะตรงกับความจริง หรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก็ดี ความฝันของหมอจำนูน ทำให้คนยิ้มแป้นหุบปากไม่ลงไปตาม ๆ กัน

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ถึงตอนนี้ ก็ขอโมเมกลับบ้านกันเสียที เวลานี้ใกล้จะหมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 23/1/12 at 14:42 [ QUOTE ]


7

จุไรท่องยมโลก



ท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย วันที่บันทึกนี้ ตรงกับ วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๓๓ ที่ต้องบอกไว้ ก็เพราะมีเรื่องต้องบอกว่า ตอนเช้าวันนี้ หมอเตือนใจ กลั่นสุภา ได้มาทำฟันให้ คือ มาแคะหนองจากรากฟัน แล้วก็มีการแปะวัตถุแข็ง ๆ ไว้หน้าฟัน เพื่อให้เคี้ยวอาหารได้ด้วย การเดินทางมาของหมอคราวนี้ ก็มี บุปผาชาติ หรือโอ๋ เป็นคนขับรถให้

เรื่องของฟัน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มันปวดมาตั้งแต่วาน เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคมบันทึกเสียง รู้สึกว่าเสียงแปร่งไป สมองก็มึน วันนี้เมื่อกระทบกระทั่งกับเครื่องมือเข้าทางฟันไม่ปวด แต่ทว่าประสาทส่วนอื่นรวน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางท้อง ไม่ถ่ายเป็นปกติ และขณะที่พูดรู้สึกว่า เจ็บคอมาก ทั้งนี้ คงจะโทษเรื่องของฟัน ก็ไม่ถูกนัก เพราะอากาศหนาวเย็นขึ้น

ก็รวมความว่า คนพูดก็มีทุกข์เหมือนกับบรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลายเหมือนกัน แต่ถึงแม้จะทุกข์ขนาดไหนก็ตาม งานประจำก็ต้องทำ แต่ว่าวันนี้ ขอทำงานประจำเป็นพิเศษ คือ การเล่านิทานให้ลูกหลานฟังจะของด เรื่องของตัวของด ถือว่า เรื่องของนิทานให้เป็นเรื่องของเด็กดีกว่า นั่นคือมีความต้องการว่า

ให้เด็ก ๆ ได้มีโอกาสได้ฟัง ฟังเรื่องของเด็กด้วยกัน คำว่า เรื่องของเด็กด้วยกัน ก็คือว่า จุไร จุไรเธอเป็นเด็ก วันนี้บังเอิญป้าน้อยมา คุณป้าน้อยมา แล้วก็คุณจุไรก็มา จึงขอมอบหมายงานทั้งสองประการให้ทั้งน้อย และจุไรเป็นผู้เริ่มเรื่องคุยกันต่อไป เรื่องราวของคนแก่จริง ๆ ก็ไม่น่าจะฟังนัก ก็ขอเริ่มเรื่องตามนี้

หลังจากที่ จุไร กับป้าน้อยลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ความจริงเธอตั้งใจอยากจะไปเที่ยวให้มันหมดว่า สวรรค์มีที่ไหนบ้าง เทวดานางฟ้ามีที่ไหนบ้าง พรหมมีที่ไหนบ้าง อยากจะไปเที่ยวให้หมด ทีนี้ก็เป็นอันว่า การไป คือ ร่างกายที่ไปเป็น อทิสมานกาย คือว่า การไปสวรรค์ หรือการไปพรหมโลก เขาถือว่า เป็นกายทิพย์

แต่กายเนื้อ ที่ทิ้งอยู่ที่เมืองมนุษย์ มันต้องการอาหาร เมื่อปล่อยทิ้งมันนาน ๆ เกินไป มันอาจจะทรุดโทรม หรืออาจจะตาย ทุพพลภาพก็ได้ ยังไม่ถึงเวลาตาย มันก็ตายไม่ได้ อาจจะเป็นทุพพลภาพ คือ เป็นง่อยเปลี้ย เสียขาไป ไม่มีแรง เมื่อถึงวาระต้องกลับ ก็ต้องกลับมาคือ ครบเวลาใกล้จะ ๗ วัน ก็เดินทางกลับลงมา จากสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

ทดสอบดูว่า เขาพระสุเมรุนั้นอยู่ที่ไหน เพราะตามปฐมสมโภชน์ ท่านบอกว่า เวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากชั้นดาวดึงส์ ลงประตู เมืองสังกัสนคร คราวนั้นองค์สมเด็จพระชินวรลงทางบันไดที่พระอินทร์สร้างให้ คือ พระอินทร์นึก ๆ ให้วิษณุกรรมนึก ๆ ว่านี่จงเป็นบันไดทอง ด้านนี้ต้องเป็นบันไดเงิน ตรงกลางเป็นบันไดแก้ว

ให้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลงตรงกลาง เมื่อจุไรคลำพบจุดทางลงของเขาพระสุเมรุได้แล้ว ก็ลงมาตามแนวทาง แต่ไม่ใช่บันได ไม่ใช่บันไดที่พระอินทร์สร้างถวายพระพุทธเจ้า เมื่อลงจากเขาพระสุเมรุมา ก็มาพบทาง ๔ แพร่ง เธอจึงหันไปถามป้าน้อยว่า คุณป้าเจ้าขา ทางมันมี ๔ แยก แต่ว่า ๔ แยกตามปกติที่กรุงเทพฯ เขามีตำรวจจราจร

และก็มีป้ายบอกทาง แต่ว่าทาง ๔ แยกนี่ ไม่มีตำรวจจราจรด้วย ไม่มีป้ายบอกทางด้วย หนูก็สงสัยนักว่า อย่างนี้ป้าจะไปถูกไหม ป้าน้อยก็ตอบว่า หลาน เวลานี้เราเป็นอารมณ์จิต คือ ที่มานี่ ที่มีร่างกาย นี่มันเป็น นามธรรม เป็นรูปของในนาม รูปของในนามชื่อว่า ไม่รู้ นี่ไม่มี ทุกอย่างรู้หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แนวทางของโลก จุดต่าง ๆ ของสถานที่ หรือบุคคล

ใครจะอยู่ไหน ก็ต้องรู้หมด ถ้าไม่รู้ ก็ไม่ใช่กายทิพย์ หรือใจทิพย์ จุไรจึงหันไปถามว่า คุณป้าเจ้าขา ถ้าอย่างนั้นทาง ๔ แพร่ง คุณป้าเคยทราบมาหรือไม่มา ทางไหน แยกกันไปที่ไหนกัน ป้าก็บอกว่า เวลานี้เราเดินลง หันหน้าไปทางทิศใต้ ทางที่เราเดินมานี่ เป็นทางขึ้นสวรรค์ เป็นที่ลาด ๆ และ ทางตรงข้าม ทางทิศใต้ นั่นเป็นทางไปพรหมโลก ถ้าคนตาย จะไปพรหม

เขาไปกันทางนั้น ทางด้านทางขวามือนั่น ไปสู่เมืองมนุษย์ และด้านทางซ้ายมือ นี่เป็นทางลงนรก ถ้าเดินตรงลงไปจริง ๆ จะถึงแดนเปรตก่อน ถ้าเลี้ยวขวาไปนิดหนึ่ง จะเข้าแดนยมโลกียนรก ยมโลกียนรก ๑๐ ขุม อยู่ด้านขวามือที่เราจะเลี้ยวไป ถ้าเลยไปจากนั้น จะเข้าไปถึงแดนของพระยายม จุไรก็ถามว่า คุณป้าทราบมาจากใคร

คุณป้าก็ตอบว่า ป้าทราบมาจากพระท่านเทศน์ พระท่านเทศน์ ท่านก็เทศน์แบบนี้ ตามตำรา เขาก็เขียนแบบนี้ ป้าก็เชื่อพระ และก็เชื่อตำรา เป็นอันว่า จุไรก็ถามว่า คุณป้า ถ้าอย่างนั้นเราจะไปไหนกันก่อน คุณป้าก็บอกว่า มองดูซิ ร่างกายของเรา ทรุดโทรมมากไหม ถ้าร่างกายของเรา ทรุดโทรมมากเกินไป เราก็กลับไปเมืองมนุษย์ก่อน ถ้าร่างกายยังมีกำลังดีอยู่ ลงไปเที่ยวบ้านลุงก่อน

จุไรถามว่า ลุงไหน ป้าน้อยก็บอกว่า ลุงพุฒิ กับลุงใหญ่ จุไรก็ถามว่า ลุงพุฒิ กับลุงใหญ่ หมายถึง สำนักพระยายมใช่ไหม ป้าน้อยก็บอกว่า ใช่ ในขณะที่ทั้งสองป้าหลานเดินลงมาทางซ้าย เป็นทางราบเรียบ ทางใหญ่ ขาวโล่ง ไม่มีผง สะอาดมาก ก็ถึงทางแยก ด้านขวา ก็เข้าแยกขวา แล้วก็มองดูยมโลกียนรกไปพลาง ๆ ก่อน ผ่าน ๆ ไป และจะกลับมาชมทีหลัง

ชมสวรรค์กันมากเกินไป ประเดี๋ยวจะเพลินความดี ดีไม่ดี ก็สร้างความชั่วหมกกันไป และก็เลยไม่รู้ว่ามันชั่ว คิดข้างดีอย่างเดียว พอตาย ความชั่วลากไป จะเดือดร้อน พอสักครู่ต่อไปก็น่าจะกลับมาชมกัน ก็เป็นอันว่า ทั้งสองคนเดินมุ่งหน้าไปสู่สำนักพระยายม ความจริง สำนักของพระยายม นี่ ท่านผู้ฟัง หรือท่านผู้อ่านโปรดทราบ

ไม่ใช่อยู่ในแดนนรก อยู่ในเขตของชั้นจาตุมหาราชของเทวดา แต่ว่าเป็นชายเขตแดน ติดต่อกับเมืองมนุษย์ด้วย เมืองนรกด้วย เมืองเทวดาด้วย ติดต่อกันเป็น ๓ เขต เขาเรียกว่า สามเหลี่ยมทองคำ จะเรียกว่า สามเหลี่ยมผู้ทรงคุณเมตตาปรานี ก็ได้ หรือเรียกว่า สามเหลี่ยมมหาปรานี ก็ถูก

ครั้นเข้าไปใกล้ จุไรก็มองเห็นคนยืนพรึ่บ เป็นหมู่ ๆ เป็นหมวด ๆ แต่ละหมู่ แต่ละหมวด ก็มีคนนับร้อย หนึ่งกลุ่มอย่างน้อยมีคนตั้งแต่ ๒๐๐ คนขึ้นไป และก็หนึ่งกลุ่ม มีคนร่างกายใหญ่ ๆ สูงมาก บรรดาคนที่ยืนเป็นกลุ่มนั่น หัวของเขาแค่เอวเท่านั้นเอง ตาคนนั้นใหญ่มาก ถือมีดง้าวบ้าง ถือฆ้อนบ้าง ถือหอกบ้าง ตามแต่เขาจะถือ ก็เป็นเรื่องของเขา

จุไรก็ถามคุณป้าน้อยว่า คุณป้าเจ้าคะ นั่นกองทหารที่ไหน เขาเตรียมจะไปรบกัน หรือเขาฝึกหัดทหาร ป้าก็บอก หลานนั่นไม่ใช่นะ นี่เป็น ลานด้านทิศตะวันตกของสำนักของพระยายม เป็นลานใหญ่ เห็นคนยืนอยู่ประมาณสัก ๑๐ กลุ่มแต่ละกลุ่มนั้น คอยการสอบสวนของพระยายมท่านก่อน

และคนที่คุมอยู่นั้นเป็น นายนิริยบาล คือ เจ้าหน้าที่ของนรก แต่เจ้าหน้าที่เป็นเพียงว่า มาคอยรับควบคุมคนไว้ว่า คนไหนถ้ายังไม่มีการสอบสวน ก็ยังไม่ปล่อยให้ไป คนไหนที่มีการสอบสวนแล้ว แต่ทว่าไม่มีความผิด หรือว่าพระยายมส่งให้ไปรับผลของความดี เขาก็ปล่อยไป แต่คนไหนที่พระยายมตัดสินใจว่า สุดแล้วแต่กรรม เขาก็นำไปนรก ไปลงโทษตามกฎของกรรม

จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น เราจะเข้าไปสำนักของพระยายมได้ไหม คุณป้าน้อยก็บอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสถานที่มีระเบียบ ถ้าอย่างนั้น เราลองเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ก่อน ทั้งสองคนก็เดินตรงเข้าไป แต่ก็เลี่ยงจากสนามประชุมพล ไปทางด้านซ้าย คือ ไปทางทิศเหนือของอาคาร พอเข้าไปใกล้ ก็เห็นอาคาร ๓ หลัง ตั้งเรียงรายกันอยู่โปร่ง มีความสวยสดงดงาม น่าอยู่ น่าพัก น่านั่ง

และก็มีบรรดาเจ้าหน้าที่ แต่งตัวสวย ๆ ยืนอยู่ระเกะระกะ เป็นหมวด เป็นหมู่ ทางประตูเข้าก็มีเจ้าหน้าที่ ๔ คน แต่ว่าเจ้าหน้าที่ ๔ คน แต่งเครื่องแบบเหมือนกันหมด คือ สีแดง เสื้อก็สีแดง ผ้านุ่ง หรือกางเกงก็สีแดงเหมือนกัน โพกหัวแดง ถือกระบอง พอเข้าไป จุไรก็ยกมือไหว้ เธอใช้ศัพท์ว่า คุณลุง เธอถามว่า คุณลุงเจ้าคะ สำนักงานนี้ เป็นสำนักงานของพระยายมใช่ไหม

คุณลุงมองหน้าเธอ คุณลุงก็ถามว่า ชื่อ จุไรไช่ไหม เธอก็ตอบว่า ใช่เจ้าค่ะ แล้วเธอก็ถามว่า ทำไมคุณลุงทราบ ทราบว่าหนูชื่อ จุไร ลุงยังไม่ตอบ ลุงก็ถามว่า ก่อนที่หนูจะมานี่ หนูไปสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกมาแล้วใช่ไหม เธอก็ตอบว่า ใช่ ถามว่า ไปชั้นจาตุมหาราชมาแล้วใช่ไหม เธอก็ตอบว่า ใช่ คุณลุงก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นนะ หนูต้องการเข้าสำนักของพระยายมใช่ไหม

เธอก็ตอบว่า ใช่ คุณลุงก็บอกว่า ท่านพระยายมส่งเจ้าหน้าที่มาคอยรับหนู กับป้า หันไป
ถามป้าว่า ป้าชื่อ ป้าน้อยใช่ไหม ป้าน้อยก็ตอบว่า ใช่ เป็นอันว่า สองคนถูกต้องตามบัญชี ตรงตามที่พระยายมสั่งว่า ถ้าสองคนนี้มา ให้นำเข้าไปได้ เจ้าหน้าที่นำเข้าไป ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ จึงนำสองคนเข้าไปในสำนักของพระยายม เข้าไปที่นั่นก็มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายชายสอง ฝ่ายหญิงสอง

ทุกคนมีความสวยสดงดงามมาก รูปร่างหน้าตาก็เหมือนมนุษย์ธรรมดา นุ่งผ้าเรียบ ๆ แต่ผิวพรรณสวย หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แต่มีหญิงคนหนึ่ง ผิวเนื้อค่อนข้างเหลือง ทรวดทรงสวยมาก เป็นลักษณะของมนุษย์ธรรมดา นุ่งผ้าถุงสีทอง ใส่เสื้อก็สีทอง ห่มผ้าสไบก็สีทองขลิบแดง เธอหันไปยกมือไหว้ป้าน้อย ถามว่า ป้าจำหนูได้ไหม ป้าน้อยก็ งง ป้าน้อยก็ถามว่า หนูคือใคร

เธอก็ตอบสั้น ๆ ว่าหนูคือ จิต คำว่า จิต เป็นชื่อของเธอ ป้าน้อยก็ถามว่า หนูรู้จักกับป้าตั้งแต่เมื่อไร หนูจิตเธอก็บอกว่า หนูเป็นคนต่างจังหวัด อยู่ทางจังหวัดภาคเหนือ แต่ว่าอย่าบอกจังหวัดเลย ประเดี๋ยวจะเป็นการสะเทือนใจของผู้อื่นที่ยังไม่ตาย หนูเคยปฏิบัติกรรมฐาน ป้าสอนให้ ความจริงหนูก็ฝึกได้แค่ ๒ วัน วันแรกป้าสามารถนำไปได้ถึง พระจุฬามณี วันที่สองหนูก็ติดตาม

ตามคำแนะนำของป้าได้ไปถึง นิพพาน แต่ว่าพอกลับถึงบ้านได้ไม่นาน ปรากฏว่า หนูเป็นชาวนา ออกไปที่นา ไปดำข้าว เวลาขึ้นจากคันนา งูเห่ากัด ถึงแก่ความตายในวันนั้น ป้าน้อยก็ถามว่า ในเมื่อหนูได้ทิพจักขุญาณแล้ว ทำไมหนูไม่ตรวจดูเสียก่อนว่า อันตรายจะมีที่ไหน เธอก็ตอบว่า ขึ้นชื่อว่าวาระจะเข้ามาถึง ในเมื่อวาระจะเข้ามาถึงแล้ว ความตายจะเข้ามาถึง

ทุกสิ่งทุกอย่างถูกบังหมด ก็เป็นอันว่า คุณหลานสอนคุณป้าต่อไป เธอก็เล่าต่อไปว่า หลังจากที่ถูกงูเห่ากัด เธอก็นึกถึงคำภาวนาว่า พุทโธ นึกถึงคำภาวนาอย่างอื่นไม่ทัน นึกคำว่า พุทโธ ขึ้นมาได้ พอนึกหายใจเข้า นึกว่า พุท หายใจออกว่า โธ มันก็ปวดเหลือเกิน พิษงูนี่ปวดมาก ร่างกายก็เริ่มบิด บิดทีแรก บิดตัวไปทางซ้ายครั้งหนึ่ง ต่อมาก็บิดตัวไปทางขวา

พอบิดตัวมาทางขวาปรากฏว่า เห็นภาพพระพุทธเจ้าใหญ่โตมาก ปริมาณหน้าตักประมาณสัก ๑๐ ศอก เหลืองอร่าม เป็นทองคำ ตอนนี้เอง ใจหนูก็นึกรักพระพุทธรูป แทนที่จะนึกถึงความเจ็บปวด จิตใจสนใจในภาพพระพุทธรูปหนักขึ้น จิตจับอยู่ที่นั่นเลยลืมความปวด ในที่สุด ความปวดจะหายปวดเมื่อไร ก็ไม่ทราบ ตอนนั้น ตอนที่หนูเอาจิตใจไปจับพระพุทธรูป ไม่สนใจแล้ว

ไม่ได้สนใจใครเลย ใครเขาจะปฏิบัติพยาบาล รักษาแบบไหน หนูไม่รู้ทั้งหมด ในที่สุดหนูก็ตามพระพุทธรูปมา เมื่อตายมาแล้ว ท่านก็นำไปส่งไว้ที่ชั้น จาตุมหาราช มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร และมีสระโบกขรณี มีรัศมีกายสว่างไสวมาก ในเมื่อเธอพูด ภาพของวิมาน ภาพของสระโบกขรณี ภาพของบริวารก็ปรากฏตรงหน้าป้าน้อย และจุไร

ป้าน้อยก็ถามว่า เธอเจริญกรรมฐานแค่อย่างเดียว ทำไมถึงมีอานิสงส์มากนัก เธอก็ตอบว่า ในฐานะที่หนูมีสระโบกขรณี ก็เพราะว่า ในสมัยครั้งหนึ่ง หนูเคยทำบุญร่วมในการสร้างประปา ทางวัดเขาจะสร้างประปากัน หนูเป็นคนจน เอาเงิน ๕ บาท ไปร่วมกับเขา คิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำประปากัน เรามีส่วนเป็นเจ้าของทั้งหมด

อานิสงส์อันนี้เป็นปัจจัยให้หนูได้ สระโบกขรณี และประการที่สอง หนูเคยถวายสังฆทาน ถวายสังฆทานที่มีอาหารนิดหนึ่ง ที่หลวงปู่จัด เธอก็เรียกหลวงปู่ และก็มีผ้าผืนหนึ่งย่อม ๆ ชุดละ ๑๐๐ บาท และมีพระพุทธรูป อาศัยที่มีผ้า เป็นเหตุให้หนูได้ เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ มีอาหารหน่อยหนึ่ง เป็นเหตุให้ร่างกายเป็นทิพย์

มีพระพุทธรูป เป็นเหตุให้รูปสวยมาก และมีแสงสว่างมาก เธอกล่าวจบ เธอก็บอกว่า ถ้าไม่ได้ป้าแนะนำ ในการเจริญกรรมฐาน หนูก็ไม่แน่เหมือนกัน ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ป้าก็ถามว่า ในฐานะที่หนูเคยไปพระจุฬามณี และเคยไปนิพพานมาแล้ว ทำไม หนูไม่ต้องการไปนิพพานหรือ เธอก็ตอบว่า เมื่อฝึกต้องการไปนิพพาน แต่กลับมาถึงบ้าน จิตใจต้องการไปนิพพานก็มีอยู่

แต่ทว่าบุญบารมีที่จะไปถึงนิพพาน ยังไม่มี ก็เลยมาอยู่ที่นี่ก่อน ป้าน้อยก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้นจิตใจของเธอ ยังมีความต้องการพระนิพพานไหม เธอก็ตอบว่า เวลานี้หนูก็ยังรักพระนิพพาน ป้าน้อยก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น เธอมาที่นี่ได้อย่างไร เธอก็ตอบว่า ท่านท้าวมหาราช คือ ท่านท้าวเวสสุวัณ สั่งให้หนูมา บอกว่า ป้ากับหลานสองคนจะมาที่นั่น

ให้หนูมาคอยต้อนรับ ทั้งนี้จะให้ป้า กับหลานไม่เก้อเขิน ไม่แปลกในสถานที่ ไม่งง ดีไม่ดี เห็นเป็นสถานที่ใหม่ จะงงไม่กล้าคุยกับใคร ก็เป็นอันว่า ท่านสั่งมาบอกว่า ถ้าป้ากับหลานสงสัยอะไร ไม่กล้าจะพูดกับพระยายม ก็ให้บอกหนู หนูจะกราบเรียนท่านเอง ก็เป็นอันว่า ป้ากับหลาน ขอบใจหนูจิต แหม..ชื่อ จิต เฉย ๆ ไม่บอกนามสกุลเสียด้วย ก็ตามเธอไปเข้าในสำนักของพระยายม

เข้าไปในม่าน เข้าประตูและก็ผ่านม่านไป ๗ ชั้น พอพ้นม่าน เห็นพระยายมกำลังทำการสอบสวนอยู่ ท่านก็ชี้มือให้นั่งเก้าอี้ ที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ ทั้ง ๓ คนก็เข้าไปนั่งเก้าอี้ มีเจ้าหน้าที่คอยรับ แต่ว่าท่านก็ไม่ยอมหยุดในการไต่สวนของท่าน งานของท่านก็ต้องเป็นงาน ทั้งสองคนก็นั่งฟัง มาตอนหนึ่ง ท่านถามคนที่ถูกทำการสอบสวนว่า เธอทำบาปอะไรไว้บ้าง นึกออกไหม

คน ๆ นั้นนิ่งไม่พูด ท่านถามว่า บาปทุกอย่างทำหรือ เขาก็นิ่ง ไม่พูด ท่านถามว่า เคยทำบุญอะไรไว้บ้าง คนนั้นก็นิ่ง ไม่พูด ทีนี้ท่านมานั่งไล่เบี้ยว่า เคยใส่บาตรให้กับพระบ้างไหม เขาก็เงียบ เคยฟังเทศน์บ้างไหม เขาก็เงียบ เคยบวชพระบ้างไหม เขาก็เงียบ เคยบวชเณรบ้างไหม เขาก็เงียบ ไล่ไป จนกระทั่งที่สุดว่า เธอเคยเลี้ยงหมาไหม คนนั้นอ้าปากตอบรับทันทีว่าเคยครับ

หมาที่บ้านผมมีอยู่ ๑๐ ตัว แต่ความจริง นั่นแน่ ตอนนี้พูดได้แล้ว ความจริงผมไม่ตั้งใจจะเลี้ยงมัน ก็บังเอิญแม่ของหมาขณะที่มีท้อง มาอาศัยบ้านผมอยู่ ในเมื่อมาอาศัยผมอยู่ ผมก็เลี้ยงมันตามยถากรรม ตามฐานะที่พึงทำได้ ต่อมามันก็คลอดลูก รอบแรก ๔ ตัว แล้วต่อมา คลอดรอบสองอีก ๕ ตัว เป็น ๙ ตัว รวม ๑๐ ตัว ทั้งแม่ เวลานี้ผมก็เลี้ยง

ท่านถามว่า บุญอย่างอื่นเจ้าเคยทำ แต่ทำไมจึงนึกไม่ออก อย่างบวชพระนี่ เจ้าก็เคยบวชพระ นึกออกไหม เขาก็ส่ายหัวบอกว่า นึกไม่ออก เคยบวชเณรก็เคยบวช เขาก็ส่ายหัวนึกไม่ออก ถวายสังฆทานก็เคย ใส่บาตรหน้าบ้านก็เคย เขาก็นึกไม่ออก ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ในเมื่อบาปทุกอย่าง เธอทำไม่หนักนัก ก็ทำมาแล้ว

บุญทุกอย่างก็ทำมาแล้ว เวลานี้บาปก็นึกไม่ออก บุญทุกอย่างนึกไม่ออก นึกได้อย่างเดียว บุญเลี้ยงสุนัข ก็ถือว่าเป็นเมตตาบารมี และเป็นทานบารมี คนถ้ามีกำลังใจไม่ดีก็เลี้ยงสุนัขไม่ได้ ฉะนั้นขอเธอจงรับผลของความดีก่อน เขาก็กราบ ๓ ครั้ง ถอยหลังออกมานอกวง ก็ปรากฏว่า รูปร่างหน้าตาเขา กลายเป็นเทวดาไปทันที ทุกคนที่ฟัง ทุกคนที่อ่าน

ก็คงจะอยากทราบว่า คนที่ถูกตัดสินไปแล้วนี้ เขาเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง ถ้าท่านสงสัย ก็จะบอกให้ทราบว่า ใช้คำว่า ผม ก็คือ ผู้ชาย เขาเป็นผู้ชาย บ้านอยู่ที่ไหน ประเดี๋ยวค่อยฟังกันต่อไปก็เป็นอันว่า ขณะนั้น พอเขาเคลื่อนออกจากวงตัดสิน บุญเก่า ทั้งหมดที่ทำไว้ ก็มารวมตัวหมด นอกจากบุญเลี้ยงสุนัขนะ เป็นอันว่า บุญเลี้ยงสุนัข เป็นบุญนำหน้าเขา เป็นเหตุให้เขานึกออก

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า การเลี้ยงสุนัข ต้องนึกทุกวัน ทั้งวัน ต้องนึกเสมอว่า เวลานี้มีอาหารให้สุนัขแล้ว เวลาต่อไปจะจัดอาหารอะไรให้สุนัข ทั้งสองคนจึงเรียกให้คุณจิตเรียกเข้ามา ถามว่า ท่าน เวลานี้เป็นเทวดาแล้ว สวยมาก ถามว่า ท่านมีความสวยสดงดงามจริง ๆ แพรวพราวเป็นระยับ มีเครื่องเพชร มีชฎา มีผ้า ก็ไม่ต้องพรรณนากันละ เทวดาสวยแล้วก็แล้วกัน

ทุกอย่างนี้เป็นบุญจากอะไร จากเลี้ยงสุนัขอย่างเดียวหรือ ท่านเทวดาองค์นั้นท่านก็บอกว่า ไม่ใช่เสียแล้ว บุญที่นึกได้นั่น คือ บุญเป็นเทวดาอย่างเดียว แต่ทว่าขณะนี้ บุญทุกอย่าง บุญบวชพระ บุญบวชเณร บุญถวายสังฆทาน บุญใส่บาตรหน้าบ้าน บุญเคยฟังเทศน์ และก็บุญเคยเลี้ยงสุนัข มารวมตัวกัน เป็นกลุ่มบุญใหญ่ ให้อานิสงส์พร้อมกัน

ป้าน้อยก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจะไปจากที่นี่ ท่านจะไปไหน ท่านเทวดาองค์นั้นท่านก็บอกว่า ผมไปดาวดึงส์ครับ ป้าน้อยก็บอกว่า คนที่เคยบวชพระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เคยถวายสังฆทาน เมื่อถวายสังฆทานแล้ว อานิสงส์จะส่งผลเป็นเทวดา หรือนางฟ้าชั้นที่ ๕ คือ ชั้นนิมมานรดี จะมีความสวยสดงดงามมาก จะมีอานุภาพมาก มีรัศมีกายสว่างมาก

สวยกว่าดาวดึงส์มาก ทำไมจึงไม่ไป ท่านผู้นั้นก็ตอบว่า ผมชอบดาวดึงส์ครับ บารมีผมจะสูงส่งเพียงใดก็ตามที แต่ว่าเวลานี้ต้องการดาวดึงส์ แล้วท่านก็ลาไป เอาละ บรรดาท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย เวลาที่เขาตั้งไว้นี่ มันก็ไม่แน่นอน ก็พอดี ๆ พอเริ่มจะพูด เวลานาฬิกาก็หยุดไป ก็ไม่แน่ใจในเวลาว่า จะใกล้ ๓๐ นาทีแล้วหรือยัง

ก็เป็นอันว่า ถ้ามันจะห่าง ๓๐ นาทีมากไปหน่อย ก็ขออภัยด้วย เพราะไม่แน่ใจในเวลา ดีไม่ดี เดี๋ยวจะเลยเวลาไป ตอนนี้ ขอลาบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ขอทุกท่านจงมีแต่ความสุขทุกประการ

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


8

จุไรคุยกับสองปู่



ท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟังทั้งหลาย สำหรับตอนนี้ก็เป็นเรื่องของจุไรคุยกับท่านสองปู่ คือ สำหรับ พระยายม จุไรเรียกว่า ปู่เล็ก ท่านนายบัญชี จุไรเรียกว่า ปู่ใหญ่ ทราบตามนี้ไว้ด้วย ในเมื่อพระยายม กับท่านปู่ใหญ่ คือ ปู่เล็ก กับปู่ใหญ่ ทั้งสองท่านสอบสวน คนที่ไปเป็นเทวดาแล้ว ก็พักจากภารกิจ ก็บอกว่า ตอนนี้เป็นเวลาพักจะคุยกับหลาน

งานต่าง ๆ เจ้าหน้าที่เขาทำ คนที่รออยู่ ให้เข้ากลุ่มตามเดิม อันดับแรกจุไรก็ถามท่านปู่บอกว่า ท่านปู่เล็กเจ้าคะ คนที่ตายทุกคน ต้องผ่านสำนักของท่านปู่หรือเปล่า ท่านปู่บอก ไม่จำเป็นทุกคน ลูก คนที่ตาย ถ้าหากเขานึกถึงบุญในเวลานั้น ถึงแม้เขาจะมีบาปมาก แต่บาปที่ไม่หนักที่สุด คือไม่ใช่ อนันตริยกรรม คือ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์

ทำพระสงฆ์ให้แตกกัน หรือทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต เป็นต้น คนบาปประเภทนี้แล้ว ก็ไม่ต้องผ่านสำนักของปู่เหมือนกัน เขาลงนรกทันทีทันใด แต่คนที่ไม่มีบาปถึงอย่างนี้ บาปก็มี บุญก็มี ที่เรียกว่า ความชั่วก็มี ความดีก็ปรากฏ อย่างนี้เขาก็ต้องผ่านสำนักของปู่ ต้องสอบสวนกันก่อน อย่างคนเมื่อสักครู่นี้

ความจริงเขาทำบาปมาก เวลาที่ทำบุญ เขาทำน้อย แต่เวลาจะตายจริง ๆ จิตเขาก็มั่ว ไม่นึกถึงบุญ ไม่นึกถึงบาป ไปนึกถึงแต่ทุกขเวทนาอย่างเดียว ฉะนั้นเจ้าหน้าที่จึงต้องนำมาสอบสวน ถ้าจิตเขานึกถึงบาป เขาจะลงนรกทันที ไม่ต้องผ่านสำนักปู่ ถ้าหากว่าเขานึกถึงบุญแม้แต่อย่างเดียว อย่างเขานึกถึงว่า เราเคยเลี้ยงสุนัข เราเลี้ยงสุนัขด้วย ความเมตตาปรานี

นึกถึงสุนัขที่เขาเลี้ยงก็แล้วกัน เท่านี้ เขาจะไปสวรรค์ทันที ไปรับผลตามอารมณ์ที่คิดก่อน แต่นี่ไม่ได้นึก ก็ต้องสอบสวนกัน จุไรก็ถามว่า ทำไมท่านปู่เล็กจึงได้อคติ บาปเขาทำมาก แต่บุญเขาทำน้อย ทำไมให้ไปสวรรค์ก่อน ท่านปู่ก็บอกว่า เขานึกถึงบุญได้ก่อนนี่ ถ้าเขานึกถึงบาปได้ก่อน เขาก็ต้องไปลงนรก แต่นี่บาป เขานึกไม่ออก เขานึกได้แต่บุญ

บุญใหญ่เขานึกไม่ได้ นึกได้แต่บุญเล็ก คือ ให้ทานกับสุนัข เลี้ยงสุนัขไว้ด้วยความเมตตา แต่ว่าในเมื่อ เขาออกไปจากบริเวณนี้แล้ว บุญทุกอย่างจะเข้ามารวมตัว อย่างที่หลานเห็นแล้ว จุไรก็กราบท่านปู่เล็ก และกราบท่านปู่ใหญ่ บอกว่า เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ถือว่า อารมณ์แรก อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งก็ตาม ที่เกาะก่อนตาย เมื่อจิตใจออกจากร่างก็จะไปตามกำลังของอารมณ์นั้น

ถ้าจิตใจนึกถึงอารมณ์ชั่วก็ไปอบายภูมิ นึกถึงอารมณ์ดีก็ไปสู่สุคติมีสวรรค์ เป็นต้น ท่านปู่ก็บอกว่า เออ..ถูกแล้ว ต่อไปจุไรก็ถามว่า ท่านปู่เจ้าคะ หนูสงสัยนิทานของ หลวงปู่ที่วัดท่าซุง หลวงปู่ที่วัดท่าซุง ท่านเล่านิทาน ท่านบอกว่า ท่านไปเจอะโลกดำ โลกถุงดำ หรือดาวหลุมดำ ดาวหลุมดำ มีจริง ๆ ไหมเจ้าคะ ท่านปู่เล็ก กับปู่ใหญ่ก็หันมาถามว่า

หลานคิดว่า ปู่ของเจ้า เขาจะโกหกอย่างนั้นหรือ จุไรก็บอกว่า ท่านบอกว่า เป็นนิทาน ถือว่าโกหกไม่ได้ นิทานจะเป็นของมีจริงก็ได้ ไม่มีจริงก็ได้ แต่หนูสงสัยว่า อาจจะเป็นของมีจริงก็ได้ ท่านปู่ทั้งสองก็ยอมรับว่า เรื่องดาวหลุมดำนี่มีจริง จุไรก็ถามว่า ดาวหลุมดำอยู่ที่ไหนเจ้าคะ ท่านปู่ทั้งสองก็บอกว่า เธอขึ้นมานี่ เวลานี้นั่งอยู่สูงกว่าดาวหลุมดำ อยากจะดูไหมล่ะ

จุไรก็บอกว่า อยากจะดู ท่านก็บอกว่า ดูตามนิ้วมือที่ปู่ชี้ไป ท่านปู่เล็กก็ชี้นิ้วมือไป เธอก็เห็นตามความเป็นจริง ด้วยกำลังความเป็นทิพย์ของปู่ ส่งผลให้เธอเห็น จักรวาลทั้งหมดในอากาศ มันลอยอยู่เป็นระยะ เป็นลูก ๆ เหมือนกับลูกผลส้ม อยู่เกลื่อนกลาดไปหมด เต็มไปหมด คำว่า เต็ม ไม่ได้หมายความว่า เบียดกัน ท่านปู่ก็ชี้ว่า ผลส้มลูกเล็กจิ๋ว ที่หลานเห็นลึกลงไปนั่นแหละ

ลึกสุดตามนิ้วมือของปู่ มันเป็นโลกมนุษย์ ที่หลานอยู่ แต่ความจริงหลานขึ้นมานี่ ผ่านจักรวาลทั้งหมด แต่ว่าไม่ได้สังเกต เพราะขึ้นมาเร็ว อาศัยความเป็นทิพย์ จึงไม่สนใจวัตถุนั้นใช่ไหม จุไรก็ตอบว่า ใช่เจ้าค่ะ จุไรก็พิจารณา เธอก็ถามท่านปู่ว่า จักรวาลต่าง ๆ ที่มองเห็นนี่ ความจริงมันไกลจากถิ่นที่เป็นทิพย์ลงไปมาก ท่านปู่ก็ยอมรับ เธอก็บอกว่า

ทั้ง ๆ ที่จักรวาลมีมากขนาดนี้ ยังเล็กกว่าสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ที่นั่งอยู่นี้มาก ท่านก็บอกว่า ใช่ ในดินแดนที่จักรวาลทั้งหมด ลอยในอากาศทั้งหมดนี่แหละ ที่มีอยู่ทั้งหมด จะมาเทียบกับสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ก็เทียบไม่ได้ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชกว้างขวางใหญ่โตมากกว่าเยอะแยะ ท่านปู่ก็บอกว่า หนูเห็นลูกผลส้มที่มันลอยอยู่เหนือมนุษยโลกไหม

ความจริงต้องผ่านไปหลายสิบชั้น เธอก็บอกว่าเห็น ท่านก็เลยบอกว่า ผลส้มที่เยื้องทางด้านทิศตะวันตกนิดหน่อย ที่โตกว่าโลกมนุษย์นิดหน่อย นั่นคือ ดวงพระจันทร์ และที่เลยออกมานิดหนึ่ง ตรงขึ้นมาเป็น ดาวอังคาร เยื้องไปทางทิศตะวันตกมากหน่อย ไกลสุดโน้น เป็นดาวใหญ่ นั่นคือ ดาวพระศุกร์ และเยื้องขึ้นมาทางด้านขวามือนี่นิดหน่อย ก็ไม่ไกลนัก ที่ใหญ่โตมากนั่น ดาวพฤหัส

รวมความว่า ท่านชี้ดวงดาวให้ดู โลกมนุษย์นี่เล็กนิดเดียว และจุไรก็ถามว่า ดาวดำล่ะเจ้าคะ ดาวหลุมดำอยู่ที่ไหน ท่านก็บอกว่า ต้องถอยหลังขึ้นมาหลาน ถอยขึ้นมาให้สูงถึงขอบจักรวาล คำว่า ขอบจักรวาล ก็หมายความว่า จักรวาลของอากาศ ริมจักรวาลของอากาศ ที่ลงมาจากสวรรค์จะปะทะจุดนั้นก่อน ถึงก่อน นั่นคือจุดสูงสุด ดาวหลุมดำจะอยู่ในเขตนั้น

ท่านก็ชี้ให้ดู จะเห็นเบื้องล่างดำ แต่เบื้องบนเขียวขจี เป็นป่าทึบ และก็มีทะเล มีมหาสมุทรแต่เห็นไม่โตนัก เพราะอยู่ไกลกัน ท่านปู่ก็ชี้ให้ดู ทางด้านโน้น ด้านทิศตะวันออก จะมีดาวดวงใหญ่ ๆ สองดวงเรียงออกไป แต่อยู่ไม่ใกล้นัก ห่างจากมนุษยโลกประมาณดาวพระศุกร์ ระหว่างดาวมนุษย์กับดาวพระศุกร์นี่ ดาวทั้งสองดวงห่างไประยะเท่านั้น ห่างไปดวงละเท่านั้น

แต่ว่าสองดวงนั้นก็ใหญ่มาก ใหญ่โตมโหฬารมาก ถ้ามีบริเวณความกว้างใกล้ ๆ กับดาวหลุมดำ แต่ว่าดาวหลุมดำมีสภาพแตกต่างจากเขา นั่นก็คือว่า ตรงกลางมันเหมือนกับส้มผ่าตัดครึ่งและเหมือนกับกระทะคว่ำ กลางเป็นโพรง ข้างบนเป็นพื้นพิภพ ด้านบนเป็นพื้นพิภพ เป็นที่อยู่ของคน มีแผ่นดินมีความหนาของแผ่นดินหลายโยชน์ เฉพาะด้านล่างเป็นหลุม และก็มองลงไปให้ชัด ก็ปรากฏว่า

มีดวงดาวต่าง ๆ ที่ลอยเข้ามาใกล้ ก็ไหลเข้าไปในท้องของดาวถุงดำ ท่านปู่ก็ชี้ให้ดูดาวที่ไหลออก ดาวที่เข้าไปก่อนไหลออก ดาวที่ไปทีหลังไหลเข้า ดาวที่เข้าไป ก็เห็นสภาพการไหลวน ความจริงนั่งดูตรงนั้นไม่ต้องเข้าไปที่ดาว แล้วจุไรก็ถามว่า ดาวหลุมดำจริง ๆ เป็นสิ่งที่มีคุณ หรือเป็นสิ่งที่มีโทษ ท่านก็ตอบว่า ขึ้นชื่อว่า ดาว เป็นพื้นพิภพ หรือเป็นโลก ๆ หนึ่ง จะเรียกว่า โลกตัด

โลกส้มตัดก็ได้ หรือโลกส้มโอตัดครึ่งก็ได้ มันเป็นโลกที่แตกต่างจากโลกอื่น จะถือว่าเป็นคุณ ถือว่าเป็นโทษ อะไรก็ไม่ได้ทั้งหมด เพราะมันเป็นวัตถุ มันสุดแล้วแต่คนจะใช้ เธอก็ถาม ต่อไปว่า เห็นนิทานของหลวงปู่บอกว่า คนที่โลกนี้ เขาเรียกว่า โลก ชินโลก โลกที่มีความชนะ หรือดาวหลุมดำ คนในที่นี่มีความสุขมาก

ถ้าฟังกันไป ก็คล้าย ๆ กับ ศาสนาพระศรีอาริย์ ที่ตามหนังสือเขาเขียนบอกว่า ศาสนาพระศรีอาริย์ ไม่มีคนจน มีแต่คนรวย และคนทุกคนก็สวย มีทรัพย์สินมาก บ้านเรือนโรงทั้งหลาย ทรัพย์สินต่าง ๆ ก็ไม่ต้องระวังรักษา ไม่มีขโมยขโจร มีความสุข แต่ว่าหลวงปู่เล่านิทานเรื่องโลกหลุมดำ หรือดาวหลุมดำ หรือโลกชินโลก เล่าให้ฟังว่า

เป็นคนที่มีกรรมบถ ๑๐ และก็มีพรหมวิหาร ๔ เป็นพื้นฐาน ก็อยากจะทราบว่า คนในโลกดาวหลุมดำ มีกรรมบถ ๑๐ กับคนในศาสนาพระศรีอาริย์ ใครจะมีความสุขมากกว่ากัน ท่านปู่ก็บอกว่า มันคนละสถานที่หลานรัก สำหรับดาวหลุมดำ เขาคัดคนมาโดยเฉพาะ คำว่า คัด ก็ไม่ใช่ดาวคัด คนคัดตัวเอง คือ คนที่มาเกิดที่ดาวหลุมดำ

ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า เป็นมนุษยธรรม ธรรมที่ทำคนให้เกิดเป็นมนุษย์ หมายความว่า ตายจากความเป็นคน ก็เกิดเป็นคน แต่ไม่ได้เกิดในโลกชมพู ก็มาเกิดในประเทศดาวหลุมดำนี่ แต่เฉพาะคนที่มาเกิดที่นี่ ก็ต้องเป็นคน หนึ่ง มีกรรมบถ ๑๐ ครบถ้วน ประการที่สอง มีพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน และที่มาเกิดในที่นี้ ก็มีจิตใจรักอยากจะเกิดเป็นคนใหม่

คือ เขาคิดว่า การเป็นคน ตายจากคนแล้วก็ต้องเกิดเป็นคน จิตใจไม่มีการนึกอยากจะไปสวรรค์ อยากจะไปพรหมโลก หรืออยากจะไปนิพพาน อยากจะเป็นคนตามเดิม ทีนี้กำลังกุศลของคน คงไม่มีเฉพาะกรรมบถ ๑๐ ไม่มีเฉพาะพรหมวิหาร ๔ ต้องมีดีขึ้นไปกว่านั้น มีบุญมากกว่านั้น กำลังที่มีความดีสูงกว่านั้น สามารถจะไปสวรรค์ก็ได้ อยากจะไปพรหมโลกก็ได้

หรือบางคนที่จิตใจสะอาด ๆ อย่างนี้เป็นพื้นฐาน สามารถจะไปนิพพานก็ได้ แต่คนประเภทนั้น เขาไม่สนใจจะไปภพอื่น คิดว่า การเกิดเป็นคนมันดีที่สุด เลยอยากจะเป็นคนต่อไป เมื่อมีความดีขนาดนี้แล้ว มีพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน และมีกรรมบถ ๑๐ ครบถ้วน จะเป็นคนในโลกชมพูก็เป็นไม่ได้ คือพวกนี้ คำว่า เป็นคน ก็หมายความถึง เป็นมนุษย์

คือ จะเกิดในโลกชมพู ก็เกิดไม่ได้เพราะ มีความดีมากเกินไป โลกชมพูนี่เป็นโลกผสม นั่นหมายความว่า คนทำความชั่วก็มี ความดีก็ปรากฏ ทำทั้งความดี และความชั่ว แต่ว่าโลกดาวหลุมดำ หรือที่เรียกว่า ชินโลก โลกที่เต็มไปด้วยความชนะ ชนะความชั่ว ก็มีแต่คนปรารถนาดีเท่านั้น ต้องมีเฉพาะดี ฉะนั้นเมื่อคนประเภทนี้ เมื่อมีความต้องการเกิดเป็นมนุษย์อีก

ก็ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์แท้ ๆ ที่โลกดาวหลุมดำ จุไรก็ถามว่า ก็มนุษย์ในโลกชมพู ไม่ใช่มนุษย์แท้ ๆ หรือเจ้าคะ ท่านปู่ ก็หนูดูลักษณะท่าทางของคนในโลกดาวหลุมดำ ก็มีแขน มีขา มีอาการ ๓๒ เหมือนกัน แต่งงานมีผัวมีเมียเหมือนกัน มีบ้านมีช่อง กินแล้วก็แก่ตายเหมือนกัน ทุกอย่างก็เหมือนกันหมด

ทำไมจึงไม่เรียกมนุษย์ ท่านปู่ก็บอกว่า มนุษย์ แปลว่า ผู้มีใจสูง หมายความว่า เขาต้องไม่ทำชั่ว ไม่ละเมิดกรรมบถ ๑๐ ไม่ละเมิดพรหมวิหาร ๔ มนุษย์ทุกคนจริง ๆ มนุษย์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เขาต้องปฏิบัติอย่างนี้ สำหรับในโลกชมพูของเรา มีความประพฤติไม่สม่ำเสมอกัน แม้แต่คน ๆ เดียวก็เหมือนกัน คน ๆ เดียวกัน

บางครั้ง ในช่วงเช้าถึงเที่ยง เป็นคนที่มีศีลบริสุทธิ์ มีพรหมวิหาร ๔ แต่ตอนบ่าย กลายเป็นคนใจร้าย ละเมิดศีล ไม่ตั้งใจทรงพรหมวิหาร ๔ อย่างนี้ก็มี บางคนก็นิยมทำความชั่ว มากกว่าทำความดี เห็นว่าคนที่เขาทำบุญทำกุศลให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ฟังเทศน์ เป็นคนคร่ำครึ ไม่ทันสมัย ตัวเองทันสมัยทุกอย่าง ทรัพย์สินมีเท่าไร สะสมไว้เพื่อความร่ำรวย

การบริจาคทาน เพื่อผลของความสุขในวันหน้า ไม่มี การรักษาศีล ทำให้อารมณ์ใจสบาย ไม่มี การเจริญสมาธิ ทำให้จิตเป็นสุข ไม่มี การเจริญภาวนา เพื่อทำให้ปัญญาผ่องใส ไม่มี เมื่อคนประเภทนี้มีอยู่ผสมอยู่ จึงเรียกโลกนี้ว่า โลกของ คน แปลว่า ยุ่ง จุไรก็ถามต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้น คนในโลกชมพู ก็มีคติไม่แน่นอน

หมายความว่า ตายจากความเป็นคน จะเป็นสัตว์นรกก็ได้ เป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานก็ได้ เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ไปนิพพานก็ได้ใช่ไหม ท่านปู่ก็บอกว่า ต้องแยกประเภทกัน คนทำความดี ไปเสวยผลความดี มีสวรรค์ เป็นต้น คนใคร่ครวญถึง ความชั่ว ก็ต้องไปนรก เป็นต้น เธอก็บอกว่า คนทุกคน มีความจำเป็นเรื่องความเป็นอยู่

ความเป็นอยู่บังคับ บางทีเงินจะซื้อกับข้าวก็ไม่มี จะหาของไปแลกเปลี่ยนกับเขาก็ไม่มี ก็ต้องตกปลา หาเนื้อ หาปลามากิน ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต คนประเภทนี้ บางกาลก็คิดถึง ด้านความดี แต่ถือว่า มีความจำเป็น ท่านปู่ก็บอกว่า ถ้าถือว่าการฆ่าสัตว์ มีความจำเป็น เพื่อความเป็นอยู่ของตัวเอง เมื่อตายแล้ว ก็มีความจำเป็นต้องลงนรกเองเหมือนกัน

ไม่มีใครเขาผลักดัน จุไรก็เปลี่ยนเรื่องถามว่า ท่านปู่เจ้าคะ ในโลกดาวหลุมดำ หรือชินโลก แปลว่า โลกที่มีความชนะ ชนะจากความชั่ว ที่มีคติตรงกันข้ามกับกรรมบถ ๑๐ มีคติตรงกันข้ามกับพรหมวิหาร ๔ ทรงความดี ๒ หมวดไว้ คือ พรหมวิหาร ๔ และกรรมบถ ๑๐ ในโลก ๆ นี้มีทรัพย์สิน มีเงิน มีทอง มีแร่ธาตุสำคัญบ้างไหม เพราะว่าในนิทานที่หลวงปู่เล่าไว้

ไม่ได้บอกไว้เลยว่า มีขุมทรัพย์ที่ไหนบ้าง จะมีแก้วแหวนเงินทองที่ไหนบ้าง ท่านปู่ก็บอกว่า มีหลาน หลานจะไปดู หรือหลานจะนั่งดูตรงนี้ จุไรก็เรียนถามท่านปู่ว่า การไปดู มันดีกว่า หรือว่าการนั่งดูตรงนี้ดีกว่า ท่านปู่ก็บอกว่า นั่งดูตรงนี้ดีกว่าไม่ต้องเคลื่อนไหว อยากจะดูอะไรตรงไหน ก็ได้หมด และท่านก็ชี้ให้ดู จุดนี้เป็นขุมของทองคำ เธอก็เห็นทองคำเหลืองอร่าม

จุดนี้เป็นขุมของเงิน ก็เห็นเงินแพรวพราว จุดนี้เป็นจุดของแก้วแร่ธาตุต่าง ๆ อธิบายหมด เป็นโลกที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด สิ่งที่ปรารถนามีทั้งหมด ทุกอย่าง แล้วท่านก็ให้ดูบ้านทุก ๆ หลัง คนทุก ๆ คนที่มีความประพฤติ ที่มีความเป็นอยู่ บ้านทุกหลังเป็นตึกหมด และภายในบ้าน มีเครื่องประดับประดา สวยสดงดงาม ความเป็นอยู่ง่าย ๆ มีผักเป็นอาหาร เป็นภาคพื้น นาน ๆ จะกินเนื้อสัตว์สักที

ก็รวมความว่า คนโลกนี้ เป็นคนที่มีความสุข จิตใจ เพื่อหวังในการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ก็ไม่มี จุไรก็ถามต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้น คนประเทศนี้ ในเมื่อเขามีชีวิตทรงตัวแบบนี้แล้ว มันนานแสนนานกว่าจะตาย อายุขัยเท่าที่ทราบจากนิทานว่า อายุขัยตั้ง ๑๒,๐๐๐ ปี ใช่ไหม ท่านปู่ก็บอกว่า ใช่ จุไรก็หันไปกราบท่านปู่ใหญ่ แล้วก็ถามว่า

ท่านปู่ใหญ่เจ้าคะ คนในโลกดาวหลุมดำนี่อยากจะทราบว่า ในบัญชีท่านปู่มีไหม ท่านปู่ก็มองหน้าก็เลยพูดบอกว่า เอ๊ะไอ้หนู เอ็งพูดกับปู่เล็กกำลังสบาย ๆ ทำไมหันมาถามปู่ใหญ่ จุไรก็บอกว่า เห็นท่านปู่ใหญ่นั่งว่าง ๆ เกรงจะเหงา ท่านก็บอกว่า ไม่เหงา ฟังเจ้า กับ ปู่เล็กคุยกัน ปู่ก็เพลิน ๆ ดี เพราะเวลานี้ได้พักงาน

จุไรก็บอกว่า เท่าที่ถามท่านปู่ใหญ่ ก็อยากจะทราบถึงบัญชี บัญชีของท่านปู่ใหญ่ มีกับคนทั้งโลกใช่ไหม ท่านปู่ใหญ่ก็บอกว่า ไม่ใช่คนทั้งโลก คนทุกโลก ที่มีอยู่ในจักรวาลนั้นทั้งหมด จะเป็นโลกดาวหลุมดำก็ดี โลกใหญ่ใกล้เคียงก็ดี มนุษยโลกที่เธออยู่ก็ดี โลกพระจันทร์ โลกพระอังคาร โลกพระศุกร์ โลกไหนก็ตาม ที่มันมีคน ที่ไหนมีคน เขาทำความดีเขาทำความชั่ว

ย่อมปรากฏในบัญชีของปู่หมด เธอก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น คนในชินโลก หรือโลกดาวหลุมดำ ที่อยู่ในบัญชีดำของท่านปู่มีไหม ท่านปู่หัวเราะชอบใจว่า อีหลานนี่มันฉลาดจริง ๆ มันรู้ได้อย่างไร บัญชีดำบัญชีแดง จุไรก็บอกว่า หนูเดา ๆ เอาเจ้าค่ะ บัญชีดำหมายถึง มืด คือ อารมณ์ใจดำท่านปู่ก็บอกว่า ไม่มี บัญชีที่บันทึกความชั่ว เพื่อจะลงโทษคนในโลกหลุมดำ อันนี้ไม่มีเลย

เพราะว่าทุกคนเขาไม่ทำความชั่ว ทางด้านจิตใจ บางครั้งอาจจะมัวหมองไปบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ย่อมมี คนในโลกหลุมดำจริง ๆ ก็มีสภาพไม่เสมอกันนัก คนที่มีบารมีเคร่งครัด สร้างความดีในมนุษยโลกก่อน ตั้งใจทำความดีอย่างเคร่งครัดไปเกิดในโลกหลุมดำ ก็มีความปกติในการปฏิบัติธรรม ๒ หมวด คือพรหมวิหาร ๔ กับกรรมบถ ๑๐ บางคนที่ปฏิบัติกระพร่องกระแพร่ง

หมายความอยู่ในโลกมนุษย์ ความชั่วก็มี ความดีก็ปรากฏ แต่ว่าโดยปกติแล้ว ถ้าทำความดี จะนิยมประพฤติปฏิบัติในกรรมบถ ๑๐ และจิตใจน้อมอยู่ในพรหมวิหาร ๔ อย่างนี้เป็นปกติ แต่ก็เผลอบ้าง บางครั้งก็เผลอ บางครั้งก็ไม่เผลอ บางครั้งก็ทำได้ บางครั้งก็พลาด แต่ว่าเวลาจะตาย จิตใจคิดถึงคุณธรรมทั้ง ๒ กลุ่มนี้ และจิตใจตั้งอยู่ว่า ถ้าตายจากความเป็นคนเมื่อไร

ขอเกิดเป็นคนใหม่ ให้มันรวยกว่านี้ ให้มันสวยกว่านี้ ให้มีความสุขมากกว่านี้ คำว่า นี้ หมายถึง โลกชมพู คนประเภทนี้ ตายจากโลกชมพูแล้ว ก็มาเกิดในโลกดาวหลุมดำ ฉะนั้นคนประเภทนี้เวลาปฏิบัติความดีทั้ง ๒ หมวดก็กระพร่องกระแพร่งไปบ้าง คือ ทำแบบบางครั้งก็มีการฝืนใจนิดหน่อย ไม่เรียบร้อยนัก แต่จิตเป็นสุข ปฏิบัติแบบนิ่มนวลนั้นมีมาก

หมายความว่า มีความสบายใจ เพราะอาศัยกรรมบถ ๑๐ กับพรหมวิหาร ๔ เวลานี้มากกว่าจิตใจกระพร่องกระแพร่ง ก็ถือว่าคนในโลกนี้มีกำลังใจไม่เสมอกันนัก หมายความว่า ปฏิบัติในกรรมบถ ๑๐ อย่างเคร่งครัดมีอยู่ อย่างกลางมีอยู่ อย่างอ่อนมีอยู่ แต่ไม่พลาด
จุไรก็ถามท่านปู่ใหญ่ต่อไปว่า คนโลกนี้ ถ้าตายแล้วจะไปไหน

ท่านปู่ก็บอกว่า ขึ้นชื่อว่า ตายแล้วจะไปไหน ก็เป็นเรื่องของกำลังใจของแต่ละคน เพราะว่าโลกนี้จริง ๆ แล้ว เขาปฏิบัติความดีเต็มอัตรา หมายความว่า มีพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน มันมีความดีทุกอย่าง ศีลก็บริสุทธิ์ สมาธิก็ทรงตัว ปัญญาก็ฉลาด แต่ว่าคน ก็ต้องอาศัยบารมี ถ้าบารมียังไม่แก่กล้าจริง ๆ จะต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

ส่วนใหญ่จริง ๆ เขาจะไปเกิดบนสวรรค์ก่อน เป็นเทวดาบ้าง เป็นนางฟ้าบ้าง เป็นพรหมบ้าง จุไรก็ถามว่า พรหมต้องอาศัยฌาน และคนในโลกนี้ มีฌานหรือเจ้าคะ ท่านปู่ก็บอกว่า การที่เขาทรงความดีเป็นปกติอย่างเคร่งครัด นั่นเป็น ฌานในพรหมวิหาร ๔ กับฌานในสีลานุสสติกรรมฐาน กรรมบถ ๑๐ ก็คือ ศีล ถ้ากำลังใจเป็นฌาน เขาตายเพราะอาศัยฌานเป็นพื้นฐาน

เขาก็ไปเกิดในพรหมโลก และจุไรก็ถามต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้น เขาจะกลับมาเกิดในมนุษยโลก ในโลกชมพูอีกไหม ท่านปู่ก็ตอบว่า คนที่ต้องกลับมาสู่โลกชมพูก็มีเยอะ มีไม่น้อยเหมือนกัน เพราะกำลังบุญของคนทุกคนไม่เสมอกัน บางคนก็ไปสวรรค์ด้วย ไปพรหมโลก แล้วก็ไปนิพพานเลย อย่างนี้ก็มีมาก บางคนก็ต้องหวนกลับมาสู่โลกชมพูอีก แต่บางท่านไม่กลับเฉพาะโลกชมพูเลยลงนรกไปก็มี

จุไรก็ถามว่า ในเมื่อเขาทำความดีทุกอย่าง อยู่ในกรรมบถ ๑๐ และพรหมวิหาร ๔ ไม่น่าจะไปเกิดในยมโลก ไม่น่าจะลงนรก ท่านปู่ใหญ่ก็บอกว่า อาศัยกรรมเก่า หลานรัก ขณะที่เขาก่อนจะตาย เขามีทั้งความชั่วก็มี ความดีก็ปรากฏ แต่เวลาก่อนจะตายจริง ๆ ใกล้จะตาย เขาทรงพรหมวิหาร ๔ และกรรมบถ ๑๐ บุญตัวนี้ มีความเข้มแข็ง

นำเขาไปสู่โลกดาวหลุมดำก่อน เพราะอยากเกิดเป็นมนุษย์ พ้นจากดาวหลุมดำแล้ว เขาก็ไปเกิดบนสวรรค์บ้าง เป็นเทวดาบ้าง เป็นนางฟ้าบ้าง หรือเป็นพรหมบ้าง ทีนี้เมื่อบุญบารมีอันนั้นหย่อนลง เวลาที่เขาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า หรือเป็นพรหม ไม่สั่งสมบารมีต่อ มีความสุขและเมาในความสุข เมื่อบุญความดีขาดตอน ตอนนี้ต้องลงมาโลกชมพู

และก็มีหลาย ๆ คนเพราะอาศัยบาปเก่าสนับสนุน ให้ผลอย่างแรงพุ่งหลาวจากพรหม จากเทวดา จากนางฟ้า ลงนรกทันทีก็มีเยอะ เพราะว่าคนที่ไปที่นี่ไม่ใช่บริสุทธิ์มาตั้งแต่ต้นเสมอไป จุไรฟังท่านปู่ทั้งสองแล้ว ก็รู้สึกขอบคุณท่าน ก็ถามท่านปู่ต่อไปว่า หลังจากนี้ไปแล้ว ท่านปู่จะมีการสอบสวนอะไรไหม

ท่านปู่ก็บอกว่า มี เธอก็ถามว่า คนที่มาคอยการสอบสวนของท่านปู่นี่ เป็นคนที่มีโทษทุกคนหรือเปล่า ท่านปู่ก็บอกว่า เขาทำทั้งความดี และความชั่ว จึงต้องสอบสวนกัน ถ้าใครนึกถึงความดีได้ก่อน ก็ไปสวรรค์ ใครนึกถึงความดีไม่ได้เลย นึกได้แต่ความชั่วอย่างเดียว ยอมรับความชั่วอย่างเดียว ก็ไปอบายภูมิ ไม่ใช่หน้าที่ของปู่จะส่ง ไปเป็นกฎของกรรมของเขาจะส่งไป

จุไรก็ถามต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้น เวลาที่ท่านปู่จะทำการสอบสวนถึงหรือยัง ท่านปู่ก็มองดูเวลา ก็บอกว่า ถึงแล้วหลาน ปู่ทั้งสองขอทำงานต่อไป จุไรก็ลาท่านกลับ เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นอันว่าเทปนี้ เป็นเทปปิดรายการ หรือหน้านี้เป็นหน้าปิดรายการหนังสือฉบับนี้

เรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นมาทั้งหมด เป็นเรื่องนิทาน ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน อ่านก็ดี ฟังก็ดี ขอให้นึกว่า ฟังนิทาน อ่านนิทานก็แล้วกัน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top